Talk of The Town

ส่องเทรนด์การเติบโต หุ้นอิเล็กทรอนิกส์สุดฮอต


08 พฤศจิกายน 2567

หุ้นอิเล็กทรอนิกส์สุดฮอต! ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลบวกหลังโดนัลด์ ทรัมป์ หวนกลับมานั่งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจแค่ไหน Share2Trade มีคำตอบ

ส่องเทรนด์การเติบโต_S2T (เว็บ).jpg

ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เชื่อว่าการปรับตัวขึ้นส่วนใหญ่ของ หุ้นอิเล็กทรอนิกส์สุ มาจากอารมณ์มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน และให้เหตุผลว่าภาษีที่เจาะจงจีนครั้งแรกโดยรัฐบาลทรัมป์เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่กรกฎาคม 2561

โดย ผู้นำเข้าทั้งหมดควรตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว และเชื่อว่าส่วนใหญ่ได้พยายามกระจายความเสี่ยงโดยนำฐานการผลิตออกจากจีนในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา 

ดังนั้น แม้จะมีการเก็บภาษีรอบใหม่ 60% ซึ่งยืดเยื้อสงครามการค้า ผลกระทบไม่ควรมีนัยสำคัญเท่าปี 2561ชี้ให้เห็นว่ามีโครงการ PCB ทั้งหมด 95 โครงการตั้งแต่ปี 2566 คิดเป็นเงินลงทุนมหาศาลถึง 1.62 แสนล้านบาท เทียบกับเพียง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2564-65

สำหรับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มนี้ เริ่มที่ DELTA นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดไตรมาส 4/67 แนวโน้มยอดขายของ DELTA ยังแข็งแกร่ง แต่อาจจะไม่เติบโตเด่นจากไตรมาสก่อน เหมือนช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา 

เนื่องจากคาดลูกค้าจะกังวลกับภาพเศรษฐกิจโดยรวมและกังวลกับมาตรการภาษีที่อาจจะตามมาหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะที่ GPM จะได้แรงกดดันต่อเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีฐานไตรมาส 4/66 ที่ต่ำทำ ให้คาดไตรมาส 4/67 จะเป็นอีกไตรมาสที่ DELTA จะเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยประมาณการกำไรทั้งปี 2567 ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 24% จากปีก่อน แนะนำ ลงเป็น “ขาย” ให้ราคาเป้าหมาย 98 บาท โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในเดือนต.ค.67 จากระดับ 107 บาทต่อหุ้น แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีพัฒนาการที่เด่นอย่างมีนัยสำคัญเพียงพอที่ทำให้ต้องปรับเพิ่มราคาเหมาะสม

HANA นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติไตรมาส 3/67 ที่ 412 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน และลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก GPM ที่ลดลง และผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งค่า

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 1.9 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน และปี 2568 ที่ 2.1 พันล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อน คงคำแนะนำ TRADING ที่ราคาเหมาะสม 40.50 บาทต่อหุ้น แนวโน้มระยะสั้นงบไม่เด่น แต่ระยะยาวน่าสนใจจากโครงการ FT1

ส่วน KCE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดอุตสาหกรรมยานยนต์อ่อนแอลง และการผลิตสะดุดเพราะข้อจำกัดด้านกำลังการผลิต PCBs เกรดพิเศษ (~26% ของกำลังการผลิตรวม) ดังนั้นจึงคาดว่ายอดขายในไตรมาส 3/67 จะไม่น่าสนใจอยู่ที่ 111 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโต  1% จากไตรมาสก่อน และคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติในงวดไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 457 ล้านบาท ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 14% จากไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานของ KCE จะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยมองว่า product mix ที่ดีขึ้นน่าจะช่วยบรรเทาแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาทต่ออัตรากำไรไปได้บางส่วน ทั้งนี้ จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 เอาไว้เท่าเดิม โดยคาดปี 2567 จะมีกำไรสุทธิ 2,095 ล้านบาท เติบโต  21.8%จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท 

ด้าน CCET นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) คาดไตรมาส 3 ค่อนข้างโดดเด่น โดยคาดการณ์กำไรปกติอยู่ที่ 845 ล้านบาท เติบโต 116% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 5% จากไตรมาสก่อน คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ไว้ที่ 2.6 พันล้านบาท เติบโต 140% จากปีก่อน ส่วนปี 2568 คาดที่ 3.1 พันล้านบาท และปี 2569 คาดที่ 3.6 พันล้านบาท

โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 ซึ่งบริษัทเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีกาไรสูง นอกจากนี้บริษัทได้ขยายการดำเนินงานด้วยโรงงานใหม่ 3 แห่ง โดยโรงงาน 16 คาดว่าจะเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 และโรงงาน 13 และ 15 คาดว่าจะเปิดดำเนินการใน ไตรมาส 1 ปี 2568 แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 5 บาท

ส่องเทรนด์การเติบโต.jpg