นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เปิดเผยว่า ภาพผลการดำเนินงานตามงบการเงินปี 2565 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างโดดเด่นจากรายได้และกำไรที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ โดยมีรายได้จากการขายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นทั้งสิ้น 1,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 1,490 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากปี 2564
ปัจจัยที่สามารถทำผลประกอบการนิวไฮ มาจากปริมาณการขายถุงยางอนามัยปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2564 กว่า 157 ล้านชิ้น (1.1 ล้านกรอส) ส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงจากอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80-90% ตลอดทั้งปี ค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าในไตรมาส 4/65 จะมียอดการขายจากกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) น้อยกว่าที่คาดการณ์จากไตรมาส 3/65 ซึ่งมาจากการชะลอการส่งออกไปต่างประเทศชั่วคราว แต่บริษัทฯ คาดว่ายอดขายดังกล่าวจะกลับมาในไตรมาส 1/66 และการแสดงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นผลกระทบจากการลดมูลค่าลูกหนี้การค้าต่างประเทศ
ขณะที่รายได้ผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ส่วนใหญ่มีอัตราเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเกือบ 68% กลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) มียอดขายเพิ่มขึ้น 14% ส่วนกลุ่มธุรกิจภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัท (OBM) มียอดขายในระดับเดียวกับปีก่อน อีกทั้งผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จาก 70 ล้านบาท เป็น 134 ล้านบาทด้วยเช่นกัน
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรารวม 0.5 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 แล้วในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะต้องจ่ายในงวดนี้อีก 0.30 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 14 มีนาคม 2566 นี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 หลังจากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ 1-2 เดือนของปี 2566 อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ในกลุ่มธุรกิจงานประมูลจำนวน 30 ล้านชิ้น มีกำหนดส่งมอบสินค้าภายในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราการเดินเครื่องจักรของโรงงานอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 1/2566
“ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยการมุ่งขยายตลาดถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัทฯ และรับจ้างผลิต ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรปและโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคนเป็นประเทศที่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก ซึ่งปีนี้ TNR มีความพร้อมที่จะเพิ่มการทำตลาดในประเทศจีน หลังจากทั่วโลกคลายความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโค COVID-19 ส่งผลประชาชนกลับมาใช้ชีวิตและธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงสถานบันเทิงกลับมาเปิดบริการตามปกติ” นายอมร กล่าว
ปัจจัยที่สามารถทำผลประกอบการนิวไฮ มาจากปริมาณการขายถุงยางอนามัยปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2564 กว่า 157 ล้านชิ้น (1.1 ล้านกรอส) ส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงจากอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80-90% ตลอดทั้งปี ค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าในไตรมาส 4/65 จะมียอดการขายจากกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) น้อยกว่าที่คาดการณ์จากไตรมาส 3/65 ซึ่งมาจากการชะลอการส่งออกไปต่างประเทศชั่วคราว แต่บริษัทฯ คาดว่ายอดขายดังกล่าวจะกลับมาในไตรมาส 1/66 และการแสดงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นผลกระทบจากการลดมูลค่าลูกหนี้การค้าต่างประเทศ
ขณะที่รายได้ผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ส่วนใหญ่มีอัตราเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเกือบ 68% กลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) มียอดขายเพิ่มขึ้น 14% ส่วนกลุ่มธุรกิจภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัท (OBM) มียอดขายในระดับเดียวกับปีก่อน อีกทั้งผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จาก 70 ล้านบาท เป็น 134 ล้านบาทด้วยเช่นกัน
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ มีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรารวม 0.5 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 แล้วในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะต้องจ่ายในงวดนี้อีก 0.30 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 14 มีนาคม 2566 นี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 หลังจากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ 1-2 เดือนของปี 2566 อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ในกลุ่มธุรกิจงานประมูลจำนวน 30 ล้านชิ้น มีกำหนดส่งมอบสินค้าภายในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราการเดินเครื่องจักรของโรงงานอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 1/2566
“ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยการมุ่งขยายตลาดถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัทฯ และรับจ้างผลิต ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรปและโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคนเป็นประเทศที่ใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก ซึ่งปีนี้ TNR มีความพร้อมที่จะเพิ่มการทำตลาดในประเทศจีน หลังจากทั่วโลกคลายความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโค COVID-19 ส่งผลประชาชนกลับมาใช้ชีวิตและธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงสถานบันเทิงกลับมาเปิดบริการตามปกติ” นายอมร กล่าว