โลกธุรกิจ

มูลค่าตลาดเครื่องสำอางไทย โตไม่หยุด รับเศรษฐกิจฟื้น-ดีมานด์ต่างประเทศพุ่ง


13 พฤศจิกายน 2567

นักวิเคราะห์บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดเครื่องสำอาง โดยรวมในปี 2567- 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องหรือเติบโต 17.4% และ 12.9% ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนตลาดในประเทศ 79% และตลาดส่งออกอีก 21%

โลกธุรกิจ - มูลค่าตลาดเครื่องสำอางไทยโตไม.jpg

โดยตลาดเครื่องสำอางได้รับอานิสงส์จากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น และการดำเนินชีวิตและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะปกติ รวมถึงกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยกลับมา โดย Krungthai COMPASSประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 36.5 และ 40.0 ล้านคน ในปี 2567 - 2568

ดังนั้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ ที่มีสัดส่วนราว 79% ขยายตัวต่อเนื่องหรือเติบโต 13.% และ 13.3% ตามลำดับ เข้าสู่ระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติโควิด สอดคล้องกับมูลค่านำเข้าที่ขยายตัว 19.1% และ 13.3% ตามลำดับ ซึ่งเป็นเครื่องชี้หนึ่งที่สะท้อนถึงความต้องการของตลาดเครื่องสำอางในประเทศ

สำหรับตลาดส่งออกที่มีสัดส่วนประมาณ 21% มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องจนเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติโควิด เนื่องจากเครื่องสำอางของไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ อีกทั้งยังคงได้รับผลดีจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีตามความตกลง FTAกับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี และเปรู

จึงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ามูลค่าส่งออกเครื่องสำอางจะขยายตัว 34.4% และ 11.7% ตามลำดับ โดยตลาดหลักอย่างอาเซียน จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย มีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง

โดยคาดว่าในปี 2567- 2568 มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ จะขยายตัวต่อเนื่องหรือเติบโต 13% และ 13.3% ตามลำดับ ซึ่งจะเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติโควิด เช่นเดียวกับมูลค่าส่งออกที่คาดว่าขยายตัวต่อเนื่องหรือเติบโต 34.4% และ 11.7% ตามลำดับ

ขณะความเสี่ยงหลักของธุรกิจขายเครื่องสำอาง คือ การแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดสูง การเข้า-ออก ธุรกิจทำได้ง่าย ทำให้มีผู้ประกอบการเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น สะท้อนได้จากจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 16.9% รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ความเสี่ยงจากความล้ำสมัยของสินค้าและปัญหา Fast Beauty หรือการเปลี่ยนผ่านความนิยมในระยะเวลาอันสั้น

ส่วนค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า คาดจะส่งผลทั้งบวกและลบต่อธุรกิจ โดยการส่งออก อาจได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น แต่จะได้รับผลบวกในแง่ของต้นทุนการนาเข้าสินค้าและวัตถุดิบ

ในระยะข้างหน้า ผู้บริโภคจะตระหนักถึงการเลือกใช้เครื่องสำอางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องสำอางในกลุ่ม Clean Beauty ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2575 ตลาด Clean Beauty ทั่วโลก จะมีมูลค่ากว่า 32.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (ปี 2566 - 2575) ที่ 15.9%

KTB