รายงานพิเศษ : UNEP กระตุ้นใช้พลังงานแสงอาทิตย์-ลม ลดโลกร้อน หนุนธุรกิจ SUPER แข็งแกร่ง
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNEP ระบุ การใช้พลังงงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนธุรกิจ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ฐานะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
“ยูเอ็น” หรือองค์กรสหประชาชาติ ได้ออกมาเตือนว่า ภายในปี 2100 โลกจะร้อนขึ้น 3.1 องศาเซลเซียส หากรัฐบาลทั่วโลกยังคงทำตามนโยบายในปัจจุบัน และไม่คิดที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างจริงจัง ซึ่งหากอุณหภูมิเพิ่มถึง 3.1 องศาเซลเซียส จะทำให้โลกอยู่ในหายนะรุนแรง เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน และน้ำท่วม เพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยรายงาน Emissions Gap ฉบับล่าสุดของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNEP พบว่า ประเทศต่างๆ ไม่สามารถบรรลุคำมั่นสัญญาที่จะลดควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2030 ได้
ซึ่ง UNEP คำนวณว่า ประเทศต่างๆ จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปีลง 42% ภายในปี 2030 และขยับเป็น 57% ภายในปี 2035 ไม่เช่นนั้นโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสก็จะเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ “พลังงานหมุนเวียน” จะมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยในรายงานของ UNEP พบว่าการนำเทคโนโลยี “พลังงานแสงอาทิตย์” และ “พลังงานลม” มาใช้เพิ่มขึ้น อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 27% ของศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี 2030 และ 38% ในปี 2035
ในขณะเดียวกัน การปกป้องรักษาป่าไม้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 20% ของศักยภาพทั้งหมด นอกจากนี้ UNEP ยังเน้นย้ำถึงโอกาสสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหมุนเวียน และเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดกว่าภายในอาคาร การขนส่ง และอุตสาหกรรม
แต่การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยการระดมกำลังระดับนานาชาติที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งประเทศต่างๆ ต้องมุ่งให้แต่ละหน่วยงานตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน และของหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือที่เรียกว่า Whole-of-the Government Approach ในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของตน โดยเฉพาะประเทศสมาชิก G20 ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 80% ของทั้งหมด จะต้องมีส่วนรับผิดชอบหน้าที่นี้เป็นสำคัญ
ซึ่งแนวทางการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์การทำธุรกิจของ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ในฐานะที่บริษัทมีความชำนาญในการประกอบธุรกิจด้านการปฏิบัติการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และการถือหุ้นในบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทร่วม (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
โดยทิศทางธุรกิจ ปี 2567 นี้ “จอมทรัพย์ โลจายะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUPER ระบุว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ต่อเนื่อง และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในปีนี้รวม 1,656.11 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน เตรียมความพร้อมขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศไทย เพิ่มอีก300 - 500เมกะวัตต์ ตามแผนการรับซื้อไฟของ กกพ. ที่คาดว่าจะเปิดรับซื้อไฟภายในปี2567 และโครงการการขยายงานสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) โครงการSPP HYBRID ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)ในมือรวม 2,353.79 เมกะวัตต์ COD แล้ว 1,626.11 เมกะวัตต์ และจะเพิ่มกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เป็น 2,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570