ส่องพอร์ต “ชัยสิทธิ วิริยะเมตตากุล”อู้ฟู้! มูลค่าถือครองหุ้นปัจจุบัน 5.36 พันลบ. พบ DCC-STA ให้ผลตอบแทน 13-32%
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยครึ่งเดือนแรกของเดือนพฤศจิกายน 2567 ดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวน และปัจจัยที่มีผลกับตลาดหุ้นไทย เป็นเรื่องภาพรวผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนและไตรมาส 3/2567 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนของพอร์ตลงทุนหุ้นของ “ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล” หรือเสี่ยอ้วน นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบัน”เสี่ยอ้วน”มีการลงทุนในหุ้นจำนวน 9 บริษัท มูลค่าการถือครองรวมอยู่ที่ 5,360,021,000 บาท ประกอบด้วย
หุ้น CGH จำนวน 20,900,000 หุ้น คิดเป็น 0.52% มูลค่าถือครองอยู่ที่ 14,212,000 บาท
DCC 505,500,000 หุ้น คิดเป็น 5.54%มูลค่าถือครองอยู่ที่ 935,175,000 บาท
LALIN 5,500,000 หุ้น คิดเป็น 0.59%มูลค่าถือครองอยู่ที่ 34,650,000 บาท
LANNA 18,500,000 หุ้น คิดเป็น 13.52%มูลค่าถือครองอยู่ที่297,850,000บาท
PJW 20,000,000 หุ้น คิดเป็น3.22% มูลค่าถือครองอยู่ที่ 48,800,000 บาท
RICHY 165,400,000 หุ้น คิดเป็น 10.16% มูลค่าถือครองอยู่ที่ 79,392,000 บาท
SMIT 14,100,000หุ้น คิดเป็น 2.66% มูลค่าถือครองอยู่ที่ 56,682,000บาท
STA 9,600,000 หุ้น คิดเป็น0.63 % มูลค่าถือครองอยู่ที่ 204,480,000บาท
VIBHA 2,038,000,000 หุ้น คิดเป็น15.01% มูลค่าถือครองอยู่ที่ 3,688,780,000 บาท
จากข้อมูลดังกล่าว จะพบว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หุ้นในพอร์ตของเสี่ยอ้วน ที่สามารถสร้างผลตอบแทนมากสุด มี 2 บริษัท ได้แก่ หุ้น DCC ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 32.17 % และ หุ้น STA ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.66 %
ล่าสุด หุ้น DCC ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 ในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่18 พ.ย. 2567 ซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินปันผลในรอบ 3 ของปีนี้
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า แนะนำ ถือ DCC ราคาพื้นฐาน 1.93 บาท เนื่องจากกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อ่อนตัวลงโดยกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 เท่ากับ 249 ล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน และ ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากรายได้หดตัว จากปัจจัยฤดูกาล (ไตรมาส 3 เป็น low season) ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และมีกระเบื้องจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันมากขึ้นแม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น
โดยรายได้ไตรมาส 3/67 ลดลง 12%โดยปริมาณขายหดตัว 16% เป็น 9.2 ล้านตรม. เนื่องจากกระเบื้องนำเข้าจากจีนและอินเดียเข้ามาทุ่มตลาดมากขึ้นต่อเนื่อง และความต้องการซื้อในประเทศลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยซบเซา ด้านราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น+4.5% จากปีก่อน
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรตมาส 3/67 เพิ่มขึ้นเป็น 40.2% จาก 39% ในไตรมาส 3/66 และ 39.7% ในไตรมาส 2/67 เพราะราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้อยู่ที่ 21.4% เพิ่มจาก 19.3% ในไตรมาส 3/66 จากรายได้ลดลงและมีค่าใช้จ่ายในการเปิดอาคารสาขาใหม่
ส่วนการประกาศจ่ายปันผลงวดไตรมาส 3/67 เท่ากับ 0.02 บาท/หุ้น อัตราการจ่ายปันผล 73% ของกำไรสุทธิ ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 18 พ.ย.24 ชำระเงิน 4 ธ.ค.24
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/67 ยังท้าทาย โดยในช่วงเดือนต.ค.ยังมีน้ำท่วมหลายพื้นที่ แต่คาดว่ายอดขายจะฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนพ.ย.-ธ.ค.เมื่อน้ำท่วมคลี่คลายและอยู่ในระยะของการซ่อมแซม ทำให้ความต้องการซื้อ กระเบื้องปูพื้น -บุผนังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนมาร์จิ้น คาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์สูงที่ 39-40%
ทั้งนี้ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67-68 ลง -3%/-5% สะท้อนยอดขายที่ตํ่ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยบางส่วนได้รับการชดเชยจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยับขึ้น โดยรวมคาดกำไรสุทธิปี 67 หดตัว -6% เป็น 1,115 ล้านบาท และฟื้นตัวเติบโต 9% เป็น 1,218 ล้านบาทในปี 68
คงคำแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 1.93 บาท โดยเลื่อนไปอิงกับ P/E ปี 68 ที่ 14.5 เท่า คาดการณ์ Dividend yield ปี 67-68 ไว้ที่ปีละ 4.3% (จ่ายทุกไตรมาส)