หากจะพูดกลุ่มบริษัทที่ผลประกอบการมีความโดดเด่นที่สุดในไตรมาส 3/67 และช่วง 9 เดือนปี 2567 ก็คงไม่พ้นกลุ่มซีพีของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ต่างก็มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น
โดยทั้ง 4 บริษัท ในไตรมาส 3/67 สามารถโกยรายได้รวมกันไปถึง 559,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 3% ขณะที่กำไรสุทธิทำไปถึง 14,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันถึง 422% และในช่วง 9 เดือนปี 2567 ทั้งกลุ่ม ก็กอบโกยกำไรสุทธิไปกว่า 36,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 277%
แต่หากแยกเป็นรายบริษัท CPALL ในไตรมาส 3/ 67 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน6% ตามเติบโตของรายได้ทุกธุรกิจ ที่ปัจจัยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศที่ยังขยายตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ที่ยังคงปรับตัวดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยว
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 5,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 26% จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้าเป็นหลัก ประกอบกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยังช่วยให้กำไรสุทธิ 9 เดือนปี 67 ทำไปได้ที่ 18,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน 39%
สำหรับมุมมองจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า รับผลบวกจากฤดูกาลท่องเที่ยว เทศกาลฉลองส่งท้ายปี และผลบวกจากSynergy MAKRO & LOTUS ชัดเจนมากขึ้น
ส่วนกำไรในปีนี้จะอยู่ที่ 25,352ล้านบาท เติบโต 37% จากปีก่อนหน้า จากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และผลบวกจาก Synergy MAKRO & LOTUS ทั้งลดรายจ่ายที่ซับซ้อน และการใช้จุดแข็งของแต่ละองค์กรมาช่วยเพิ่มช่องทางรายได้และประสิทธิภาพในการสร้างกำไร ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท
ถัดมาที่ CPF มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 142,703 ล้านบาท ลดลง 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการจําหน่ายธุรกิจไก่บางส่วนในจีนช่วงปลายปี 66 กำไรสุทธิอยู่ที่ 7,309 ล้านบาท พลิกกลับมามีกำไรจากช่วงเดียวกัน จากราคาสุกรที่ปรับตัวดีขึ้น ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดลง และส่วนได้ในกําไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งหนุนให้กำไรสุทธิ 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 15,385 ล้านบาท พลิกมีกำไรจากช่วงเดียวกัน
ด้านมุมมองจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นในประเทศไทย เวียดนาม และต่างประเทศ แต่กำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยด้านฤดูกาล สำหรับทั้งปี 2567 จะพลิกมีกำไรอยู่ที่ 18,770 ล้านบาท หนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ทั้งนี้ จึงยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท
ต่อมา CPAXT ในไตรมาส 3/67 มีรายได้รวมอยู่ที่ 124,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกัน ตามการเติบโตของทุกหน่วย รวมถึงการขยายสาขา ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งยังหนุนให้กำไรช่วง 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 6,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% ช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับมุมมองจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 4/67 คาดกำไรจะเติบโตจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนจากช่วงไฮซีซั่นและกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมกับอัตรากำไรขั้นต้นยังดีขึ้นในทุกธุรกิจ และมีโอกาสเห็นผลบวกจาก Synergies หลังการควบรวมบริษัท สำหรับประมาณการกำไรปี 2567 จะอยู่ที่ 10,592 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 39 บาท
สุดท้าย TRUE ในไตรมาส 3/67 มีรายได้รวมอยู่ที่ 50,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เติบโตตามรายได้จากการให้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ และมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ 810 ล้านบาท ลดลง 49% จากช่วงเดียวกัน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นการบริหารต้นทุน แต่เนื่องจากยังการบันทึกรายการพิเศษเพียงครั้งเดียว จึงทำให้งวด 9 เดือนปี 67 ที่ผลขาดทุนอยู่ที่ 3,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกัน
ทั้งนี้ มุมมองจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดไตรมาส 4/67 จะมีกำไรจะอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท พลิกมีกำไรจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง ส่วนทั้งปี 2567 จะพลิกมีกำไรอยู่ที่ 8,750 ล้านบาท จากค่าใช้จ่าย SG&A และผลขาดทุนจากการขายโทรศัพท์มือถือที่ลดลง ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.30 บาท