สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์หลังระกาศงบไตรมาส 3/67 โดยพบว่า 6 หุ้นชื่อดังของนักลงทุน ล่าสุดนักวิเคราะห์แนะนำ “ขาย” แต่จะด้วยสาเหตุอะไรบ้าง Share2Trade หาคำตอบมาให้แล้ว
OR นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ให้มุมมองว่า ยังคงคำแนะนํา “ขาย” OR ราคาเป้าหมายจถูกปรับลงจาก 13.80 บาท เป็น 12.60 บาท มองว่า OR มีมูลค่าแพง อิง P/E ที่ 19 เท่า และP/BV ที่ 1.5 เท่า เทียบกับ ROE เพียง 8.1%
โดย OR อยู่ในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่เติบโตเต็มที่ ปัจจัยหนุนการเติบโตใหม่จากธุรกิจค้าปลีกเริ่มลดลง อีกทั้งยังคงไม่สามารถสร้างการเติบโตแบบ S-curve ในธุรกิจค้าปลีกอื่นนอกเหนือไปจาก Café Amazon ได้ ธุรกิจค้าปลีกของบริษัท เผชิญกับอุปสรรคจากการยุติการดําเนินงานของ Texas Chicken ในประเทศไทยและการถอนตัวจากการลงทุนใน Imsub Global Cuisine
ต่อกันที่ HANA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) แม้คาดว่ากำไรไตรมาส 4/67 ของ HANA จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/66 แต่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
จากภาวะถดถอยและความอ่อนแออย่างต่อเนื่องในตลาดรถยนต์ทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อหุ้น จึงปรับลดคำแนะนำ จาก ถือ เป็น ขาย เป้าหมายพื้นฐาน 32.00 บาท
ทั้งนี้ลูกค้ากลุ่มยานยนต์ของ HANA กำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในระยะสั้น เนื่องจากการกำจัดสินค้าคงคลัง แรงกดดันด้านราคา และการเติบโตของชิ้นส่วนที่ชะลอตัวสำหรับทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและสันดาป
ตามด้วย SPRC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองว่า แนวโน้มไตรมาส 4/67 ของ SRPC ดูไม่น่าตื่นเต้น ซึ่งยังไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น ในเชิงกลยุทธ์แล้ว หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาส 4/67 จึงขอแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมาย 5.75 บาท
ต่อด้วย ORI นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังคงแนะนำ “ขาย” แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 4.10 บาท จากกำไรปี 2567-68 ที่จะปรับลดลง และโครงการของ ORI ยังมีการยกเลิกการจองสูง จากยอดโอนเทียบ presales ที่มีส่วนต่างค่อนข้างมาก
ขณะที่ STECON นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ขาย” และราคาเป้าหมาย 7.00 บาท แม้ไตรมาส 4/67 จะมีโอกาสได้รับงานใหม่มูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท แต่มองว่าจะยัง contribute ไม่มากในช่วงต้น
โดยผลการดำเนินงานยังมี ความเสี่ยงที่สำคัญ จาก 1.GPM ค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะจากค่าใช้จ่ายงานบึงหนองบอน และ 2.บริษัทร่วมสายสีเหลืองและสีชมพูขาดทุนต่อเนื่อง ปรับผลการดำเนินงานปกติปี 2567 ลงเป็นขาดทุน 45 ล้านบาท จากเดิมกำไร 214 ล้านบาท
ส่วน BANPU นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ขาย” ที่ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท (เดิม 4.50 บาท) โดยมีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของฝ่ายวิจัยว่าราคาขายเฉลี่ย (ASP) ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติน่าจะสูงขึ้นในไตรมาส 4/67 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
เนื่องจากแรงหนุนความต้องการใช้พลังงานความร้อนที่สูงขึ้นในฤดูหนาวของประเทศตะวันตก และบริษัทจะสามารถกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4/67 หลักๆจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลง
ทั้งนี้ แม้เชื่อว่าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical risk) ที่ดำเนินอยู่ในตะวันออกกลางและแนวโน้มความต้องการใช้ LNG ที่สูงขึ้น (ซึ่งจะเป็นบวกต่อราคาขายเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ (gas ASP) ในประเทศสหรัฐอเมริกา (US))
แต่เชื่อว่าปัจจัยบวกเหล่านี้จะถูกจำกัดด้วยปริมาณก๊าซฯคงคลังที่สูงในยุโรปและเศรษฐกิจของจีนที่ฟื้นตัวช้า ดังนั้นจึงรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ลง 41% เป็น 2.9 พันล้าบาท (-46% จากปีก่อน) เพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3/67 ที่เป็นขาดทุน