โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า หลังเหตุการณ์โควิดปี 2563 ถึงปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น ถูกกดดันจากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า โดยปัจจุบันมูลค่าเศรษฐกิจไทยเพิ่งกลับไปเหนือ ช่วงก่อนเกิคโควิดเพียง 3% เท่านั้น ต่ำกว่าหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐ 54.1%, จีน 23.7%, ยุโรป 4.7%
รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ชะลอตัว สะท้อนได้จากกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ที่ 80.8 บาทต่อหุ้น ยังต่ำกว่า EPS ปี 2562 ที่ 88.1 บาทต่อหุ้น อยู่ถึง 8.2% นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเมืองไม่นิ่งและฟันด์โฟลว์ชะลอไหล กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน 1,452 จุด ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดที่ 1,579 จุด
นอกจากนี้ พบว่าการสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยยากขึ้น สังเกตได้จากในอดีตปี 2552 – 2559 (8 ปี) หุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ mai มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละปีเฉลี่ยสูงถึง 62.1% แต่ตั้งแต่ปี 2560 – 2567 (8 ปี) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละปีเฉลี่ยลดลง เหลือ 36.8% โดยเฉพาะ 3 ปีหลังสุด 2565, 2566 และ 2567 มีสัดส่วนจำนวนหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET และ mai ที่ให้ผลตอบแทนรายปีเป็นบวกเหลือเพียง 31%, 14% และ 26% ตามลำดับ
แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยมักเคลื่อนไหวตามแนวโน้มกำไรสะท้อนได้จากกราฟดัชนีตลาดหุ้นไทยเทียบกับ Forward EPS ที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเสมอ นอกจากนี้บริษัทที่ราคาหุ้นพุ่งแรงสุด 5 อันดับแรกของหุ้นใน SET100 ในแต่ละปี พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตแรงเกือบทั้งสิ้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาและค้นหาหุ้นที่คาดว่าจะเอาชนะตลาดและน่าสะสมระยะ 1 ปีขึ้นไป ผ่าน 3 สูตรพร้อมกัน ประกอบด้วย หุ้นที่มี SAFETY MARGIN สูง โดยปกติตลาดหุ้นและหุ้นมักจะไม่ลบติดต่อกัน 2 ปี ทำให้หุ้นที่ย่อตัวลงมาในปีนี้ ช่วยลด DOWNSIDE RISK ลงไประดับหนึ่งแล้ว
หุ้นที่กำไรปีหน้ามีโอกาสเติบโตเด่น โดยสังเกตได้จากหุ้นที่ขึ้นแรง อันดับต้นๆใน SET100 ในแต่ละปี มักเป็นหุ้นที่กำไรปีนั้นเติบโตเด่นมาก
เลือกจุดเข้าสะสมที่เหมาะสมที่สุดรายบริษัท ผ่านการทำ OPTIMIZATION กับ INDICATOR RSI ที่เหมาะสมสำหรับราคาหุ้นที่ย่อตัวลงมา ในระยะเวลา 4 ปี คือ ช่วงตลาดหุ้นไทยซึมๆ ลง
ส่วนหุ้นเด่น แนะนำหุ้นในกลุ่มที่ย่อตัวลงมาลึกแต่กำไรปี 2568 มีโอกาสเติบโตโดดเด่น อย่าง CK, MINT, SCC, SCGP, PLANB และ GPSC
สำหรับปัจจัยพื้นฐาน CK บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2568 จะอยู่ที่ 2,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% หนุนจากทั้งธุรกิจก่อสร้างที่เริ่มเข้างานรถไฟฟ้าสายสีส้มและการเติบโตต่อเนื่องของบริษัทร่วมขณะที่งานในมือปัจจุบันแข็งแกร่งระดับ 2.1 แสนล้านบาท เทียบเท่ารายได้ 5 ปี จึงเลือกเป็น Top Pick ของกลุ่ม แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27 บาท
MINT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงประมาณการปี 2568 จะมีกำไรอยู่ที่ 9,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% จากการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายที่จะเริ่มลดลงตั้งแต่ในไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป ดังนั้น แนะนำ “ซื้อสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว” ราคาเป้าหมาย 36 บาท
SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 15,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40% ซึ่งจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอยู่ภายใต้แรงกดดัน ท่ามกลางค่าใช้จ่ายคงที่เพิ่มขึ้น จึงแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 230 บาท
SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2568 ที่ 4,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% เนื่องจากกิจการของ FAJAR จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2568 จากการลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพและขยายตลาดเพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในตลาด ดังนั้น แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท
PLANB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 1,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% หลังบริษัทเปลี่ยนป้ายโฆษณาบางส่วนไปเป็นแบบดิจิทัลและเพิ่มสื่อโฆษณา OOH ในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์เมืองอย่างภูเก็ตซึ่งน่าจะส่งหนุนรายได้และมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น จึง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท
สุดท้าย GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2568 ที่ 5,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37% จากส่วนแบ่งกำไรของ XPCL ที่ฟื้นตัว, การเริ่มผลิตเต็มรูปแบบของโครงการCFXD จึงพลิกกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากขาดทุนในปีงบ 67 ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 49 บาท