จับประเด็นหุ้นเด่น
โรงไฟฟ้าพลังงานขยะอนาคตสดใส กสิกรไทยคาดสิ้นปี 68 มูลค่าตลาดแตะ 1.8 พันลบ.
21 พฤศจิกายน 2567
ธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี กสิกรไทยคาดปี 68 มูลค่าตลาดแตะที่ 1.8 พันล้านบาท หนุนการเติบโตของ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุแนวโน้มธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF ในปี2568 คาดว่า มูลค่าตลาดเชื้อเพลิงขยะ RDF จะสูงขึ้นราว 6.3% แตะที่ 1.8 พันล้านบาท จากการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการจัดการกับปัญหาขยะ และการเปลี่ยนถ่ายไปสู่พลังงานทดแทนซึ่งหนุนการขยายตัวของตลาดธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF
โดย 61% ของ RDF ทั้งหมดจะถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยความต้องการ RDF ในภาคไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นราว 9.9% จากการผลักดันการใช้พลังงานขยะของภาครัฐ และอัตราการการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนยังสูงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งดึงดูดผู้ประกอบการมาลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชนมากขึ้น
และ อีก 39% ของ RDF จะถูกใช้สำหรับผลิตพลังงานความร้อนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยความต้องการ RDF จะเพิ่มขึ้น 1.1% จากการลดการพึ่งพาถ่านหินจากมาตรการ CBAM ที่เก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนเยอะ เช่น ปูนซีเมนต์ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
แนวโน้มธุรกิจพลังงานขยะที่เติบโตได้ดี ส่งผลดีต่อ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) ในฐานะผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน โดยปัจจุบันประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน
สะท้อนจากผลงานในรอบ 9 เดือนที่ “สืบตระกูล บินเทพ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 มีรายได้การดำเนินงานรวมอยู่ที่ 256.2 ล้านบาท กำไร 71.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.6 ล้านบาทหรือ 0.9%
ขณะที่ในงวด 9 เดือนปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 699 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือ 3.1% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 193 ล้านบาท
"รายได้และกำไร ในงวด 9 เดือนของปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 7 เมกะวัตต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 มีระยะเวลาสัญญา 5 ปี เข้ามาเสริมรายได้จากธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวล"
ปัจจุบัน TGE มีโรงไฟฟ้าจากชีวมวลกำลังการผลิตรวม 29.7 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 3 โครงการภายใต้การดำเนินงานของ 3 บริษัท ได้แก่ TGE TPG และ TBP ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญา PPA รวม 26.3 เมกะวัตต์ และบางส่วนขายให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมและใช้ภายในกลุ่มบริษัท TGE
ล่าสุดโครงการบริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจรของเทศบาลตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (โครงการ TES TCN) มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย (PPA) 8.0 เมกะวัตต์ ได้มีการเซ็นสัญญาสัมปทานโรงไฟฟ้าขยะชุมชน Waste Concession Agreement กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เรียบร้อยแล้ว ระยะเวลาดำเนินโครงการ 25 ปี และได้เซ็น PPA ในต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้า และรายได้จากการบริการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนตามปริมาณขยะที่รับเข้ามากำจัด โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และจะ COD ได้ภายในปลายปี 2569
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทได้เริ่มทยอยดำเนินงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเฟส 1 จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่ 1. จังหวัดสระแก้ว 2. จังหวัดชุมพร 3. จังหวัดราชบุรี และ 4. จังหวัดชัยนาท คาดพร้อมทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2569 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อไปสู่เป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2575 อีกทั้งมีแผนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และรุกตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อตอบสนองแนวโน้มในอนาคตที่จะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตมากขึ้น สร้างรายได้กับกลุ่มบริษัทฯในระยะยาว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุแนวโน้มธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF ในปี2568 คาดว่า มูลค่าตลาดเชื้อเพลิงขยะ RDF จะสูงขึ้นราว 6.3% แตะที่ 1.8 พันล้านบาท จากการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการจัดการกับปัญหาขยะ และการเปลี่ยนถ่ายไปสู่พลังงานทดแทนซึ่งหนุนการขยายตัวของตลาดธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF
โดย 61% ของ RDF ทั้งหมดจะถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยความต้องการ RDF ในภาคไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นราว 9.9% จากการผลักดันการใช้พลังงานขยะของภาครัฐ และอัตราการการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนยังสูงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งดึงดูดผู้ประกอบการมาลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชนมากขึ้น
และ อีก 39% ของ RDF จะถูกใช้สำหรับผลิตพลังงานความร้อนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยความต้องการ RDF จะเพิ่มขึ้น 1.1% จากการลดการพึ่งพาถ่านหินจากมาตรการ CBAM ที่เก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนเยอะ เช่น ปูนซีเมนต์ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
แนวโน้มธุรกิจพลังงานขยะที่เติบโตได้ดี ส่งผลดีต่อ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) ในฐานะผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน โดยปัจจุบันประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน
สะท้อนจากผลงานในรอบ 9 เดือนที่ “สืบตระกูล บินเทพ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 มีรายได้การดำเนินงานรวมอยู่ที่ 256.2 ล้านบาท กำไร 71.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.6 ล้านบาทหรือ 0.9%
ขณะที่ในงวด 9 เดือนปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 699 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือ 3.1% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 193 ล้านบาท
"รายได้และกำไร ในงวด 9 เดือนของปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 7 เมกะวัตต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 มีระยะเวลาสัญญา 5 ปี เข้ามาเสริมรายได้จากธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากชีวมวล"
ปัจจุบัน TGE มีโรงไฟฟ้าจากชีวมวลกำลังการผลิตรวม 29.7 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 3 โครงการภายใต้การดำเนินงานของ 3 บริษัท ได้แก่ TGE TPG และ TBP ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญา PPA รวม 26.3 เมกะวัตต์ และบางส่วนขายให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมและใช้ภายในกลุ่มบริษัท TGE
ล่าสุดโครงการบริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจรของเทศบาลตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (โครงการ TES TCN) มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย (PPA) 8.0 เมกะวัตต์ ได้มีการเซ็นสัญญาสัมปทานโรงไฟฟ้าขยะชุมชน Waste Concession Agreement กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เรียบร้อยแล้ว ระยะเวลาดำเนินโครงการ 25 ปี และได้เซ็น PPA ในต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้า และรายได้จากการบริการกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนตามปริมาณขยะที่รับเข้ามากำจัด โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และจะ COD ได้ภายในปลายปี 2569
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทได้เริ่มทยอยดำเนินงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเฟส 1 จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่ 1. จังหวัดสระแก้ว 2. จังหวัดชุมพร 3. จังหวัดราชบุรี และ 4. จังหวัดชัยนาท คาดพร้อมทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2569 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อไปสู่เป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2575 อีกทั้งมีแผนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และรุกตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อตอบสนองแนวโน้มในอนาคตที่จะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตมากขึ้น สร้างรายได้กับกลุ่มบริษัทฯในระยะยาว