โลกธุรกิจ

เทรนด์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF กำลังขาขึ้น!


21 พฤศจิกายน 2567

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดเชื้อเพลิงขยะ RDF จะสูงขึ้นราว 6.3% จากการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการจัดการกับปัญหาขยะและการเปลี่ยนถ่ายไปสู่พลังงานทดแทนซึ่งหนุนการขยายตัวของตลาดธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF ส่วนความต้องการ RDF ในภาคไฟฟ้า คาดว่าจะมีการเติบโตราว 9.9% ในปี 2568 จากการสนับสนุนของภาครัฐทำให้มีโรงผลิตไฟฟ้าขยะมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการ RDF สำหรับผลิตพลังงานความร้อนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต คาดว่า เพิ่มขึ้น 1.1% จากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนและการลดการพึ่งพาถ่านหินจากมาตรการ CBAM

เทรนด์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ RDF copy.jpg

สำหรับแนวโน้มอุปทานเชื้อเพลิงขยะ RDF ขยะมูลฝอยในปี 2568 คาดว่าปริมาณขยะมูลฝอยมีแนวโน้มเติบโต 0.3% แตะ27.8 ล้านตัน ชะลอตัวจากที่ขยายตัว 2.9% ในปี 2567 ซึ่งจะทำให้มีขยะมูลฝอยที่สามารถนำมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF ได้กว่า 2.5ล้านตัน 

ด้านปริมาณขยะมูลฝอยในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ภาครัฐต้องผลักดันนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาขยะหนึ่งในนโยบายหลักคือการนำขยะไปผลิตพลังงานแม้ประชากรไทยลดลงตั้งแต่ปี 2562 แต่พฤติกรรมการบริโภคเช่นการสั่งอาหารออนไลน์และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวหลังโควิด-19 ยังคงทำให้ปริมาณขยะเพิ่มขึ้น การเติบโตนี้แสดงถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการนำขยะไปผลิตพลังงานซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะคงค้างแต่ยังนำขยะกลับมาใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตพลังงานอีกด้วย

ขณะที่ปริมาณขยะมูลฝอยและการส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องของภาครัฐส่งผลให้ปริมาณขยะที่สามารถแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF เพื่อนำไปผลิตเป็นพลังงานเติบโตด้วยโดยในปี 2566 จำนวนขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างถูกต้องนั้นอยู่ที่ 37.7% ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมด เพิ่มขึ้นราว7% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 การปรับปรุงนี้ส่งผลให้มีจำนวนขยะมูลฝอยที่สามารถนำไปแปรรูปเป็น RDF เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันและจากจำนวนขยะมูลฝอยที่สามารถนำไปแปรรูปนี้ 

โดยขยะมูลฝอยที่เข้าสู่กระบวนการผลิตเป็น RDF จริงนั้นก็เพิ่มขึ้นจาก 18.5% ในปี 2558 เป็น 42.9% ในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 44.4% ในปีนี้ และ 47.0% ในปี 2568 การเติบโตนี้เป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานจัดเก็บขยะมูลฝอยและผู้ประกอบการโรงงานผลิต RDF ตลอดจนถึงการส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องเพื่อนำไปผลิตเป็นพลังงาน

สำหรับเชื้อเพลิงขยะสำหรับผลิตไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่า 61% ของ RDF ทั้งหมดจะถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้าโดยความต้องการRDF เพื่อผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตกว่า9.9% สอดคล้องกับกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะที่เพิ่มขึ้น 8.2% 

ส่วนความต้องการ RDF สำหรับการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามการส่งเสริมของภาครัฐที่มีการตั้งอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะสูงกว่าพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆในปี 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชน 282.98เมกะวัตต์ 

โดยกำหนดให้โรงไฟฟ้าเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในช่วงปี2568-2569 โดยมีอัตรารับซื้อสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ที่ 5.08 บาทต่อหน่วย พร้อม FiTPremium 20.70บาทต่อหน่วย ใน 8 ปีแรกและสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิต 10-50 เมกะวัตต์ อัตรารับซื้ออยู่ที่ 3.66 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่มีอัตรารับซื้ออยู่ที่ 2.22 บาทต่อหน่วย และ 3.10 บาทต่อหน่วยตามลำดับ

ด้วยอัตรารับซื้อที่สูงกว่านี้ได้ดึงดูดผู้ประกอบการมาลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ซึ่งมีจำนวนโรงไฟฟ้าที่รอจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2568 รวม 31.5 เมกะวัตต์ทำให้คาดว่าความต้องการ RDF จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 65,000 ตัน ในปีหน้าปัจจุบันกกพ. ยังไม่มีแผนเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนเพิ่มเติมจากข้างต้น แต่ได้มีการเตรียมการที่จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 30 เมกะวัตต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ RDF จากขยะอุตสาหกรรมที่ผลิตในโรงงานจึงไม่ส่งผลต่อความต้องการ RDF จากขยะชุมชน 

อย่างไรก็ตามในระยะยาว ความต้องการ RDF จากขยะชุมชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกปี 2567-2580 (ร่างแผนAEDP2024) ที่มีการปรับเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนเพิ่มขึ้นเป็น1,142 เมกะวัตต์ หากรัฐบาลต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ยังจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนอีก 752.7 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการ RDF มีมากถึง 1.3 ล้านตันในอนาคต

ทั้งนี้ เชื้อเพลิงขยะสำหรับผลิตความร้อนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2568 คาดว่า 39% ของปริมาณ RDF จะถูกใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยคาดการณ์ปริมาณจะเพิ่มขึ้นราว 1.1% ตามความต้องการพลังงานความร้อนจากขยะที่เพิ่มขึ้น 1.8%

สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนและการลดการพึ่งพาถ่านหินในภาคอุตสาหกรรมเช่นการผลิตปูนซีเมนต์กำลังผลักดันให้ความต้องการRDF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญ ระหว่างปี 2558-2567 การใช้พลังงานความร้อนจากขยะในอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี

ขณะที่การใช้ถ่านหินลดลงเฉลี่ย5.3% ต่อปี แม้ต้นทุนการใช้RDF จะสูงกว่าถ่านหินแต่ด้วยมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป(EU) ที่เก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนเยอะ เช่นปูนซีเมนต์จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน คาดว่าในปี2568 การใช้ RDF จะเพิ่มขึ้นราว 5,000 ตัน ทดแทนถ่านหินได้ประมาณ 2,100 ตัน โดยการลดการใช้ถ่านหิน 1 ตัน ต้องใช้ RDF ประมาณ 2.35 ตัน

ทั้งนี้ ความเสี่ยงของธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF ความต้องการRDF ในภาคการผลิตไฟฟ้ามีความไม่แน่นอนเนื่องจากขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐ เช่นในช่วงปี 2565-2566 การอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าขยะล่าช้า เนื่องจากผู้ประกอบการรอการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชน ส่งผลให้ความต้องการใช้ RDF ชะลอตัวลง นอกจากนี้พลังงานจากขยะยังต้องแข่งขันกับพลังงานสะอาดประเภทอื่นๆที่ภาครัฐอาจสนับสนุนมากกว่าเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำกว่าพลังงานจากขยะมากกว่าเท่าตัว

ห่วงโซ่อุปทานของเชื้อเพลิงขยะต้องอาศัยการประสานงานระหว่างหลายหน่วยงานของภาครัฐเช่น การจัดเก็บขยะอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยส่วนการกำหนดนโยบายการรับซื้อพลังงานเป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงานเป็นต้นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานนี้จำเป็นต้องมีความสอดคล้องเพื่อสนับสนุนความพร้อมของอุปทาน RDF ในภาคพลังงาน

ธุรกิจเชื้อเพลิงขยะ RDF อาจเผชิญความเสี่ยงจากการที่ปริมาณขยะมูลฝอยถูกนำไปรีไซเคิลมากขึ้นแทนที่จะถูกนำไปแปรรูปเป็นพลังงานในต่างประเทศ เช่น ยุโรปการรีไซเคิลขยะกำลังได้รับความนิยมมากกว่าการใช้ขยะเพื่อผลิตพลังงานเนื่องจากการรีไซเคิลสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าพลังงานที่ได้จากการเผาขยะ โดยสำหรับประเทศไทยระหว่างปี 2556-2566 อัตราการเติบโตของขยะที่ถูกรีไซเคิลสูงกว่าการรวบรวมขยะเพื่อผลิตพลังงานถึง3.0%

การเติบโตของธุรกิจ RDF อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากกระบวนการผลิตพลังงานจากขยะมักมาจากการเผาไหม้ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้พลังงานขยะอาจถูกลดบทบาทได้ในอนาคตจากข้อกำหนดสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะหลังจากที่สหราชอาณาจักรจะนำพลังงานขยะเข้าสู่ระบบสิทธิการซื้อขายใบรับรองการปล่อยคาร์บอน (Emission Trading Scheme) ในปี 2571ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลด้านมลพิษจากพลังงานขยะ

RDF