กระดานข่าว
ttb analytics ประเมินนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กระทบขั้นต่ำ 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐ
22 พฤศจิกายน 2567
ttb analytics ประเมินนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กระทบขั้นต่ำ 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐ เหตุจากการกีดกันการค้ากับจีน แนะไทยเร่งหนุน FDI รับผลดีจากการเป็นฐานการผลิตและเร่งเจาะตลาดอื่นชดเชย
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าหากมีการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ตามนโยบายที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค จากทั้งผลกระทบโดยตรง (Direct Effects) เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาที่สูงกว่าประเทศในภูมิภาค และผลกระทบทางอ้อม (Indirect Effects) หากจีนเปลี่ยนปลายทางสินค้าราคาถูกมาไทยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มที่จะได้รับผลประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมีค่อนข้างจำกัดจากภาพเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางในปัจจุบัน ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
ซึ่งหากเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนการส่งออกที่สูงกว่าประเทศในกลุ่มภูมิภาค โดยปัจจุบันมีมูลค่าการส่งออก 47.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 17.1 (ปี 2566) ของการส่งออกไทยทั้งหมด และถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อยู่ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งน้อยกว่าไทย ยกเว้นเวียดนามที่มีสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ร้อยละ 29.5 ดังนั้น หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคโดยรวม
ดังนั้นหากสหรัฐฯ มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัย และหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทย ซึ่งจะซ้ำเติมการผลิตภายในประเทศที่อ่อนแอเป็นทุนเดิม ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ของภาครัฐที่จะต้องหารือและเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับข้อตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา ตลอดจนนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ให้กับภาคเอกชน เพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังมาถึง
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเอกชนจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลกและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาสู่ไทย เพราะทุกประเทศมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางภาษีใกล้เคียงกัน ตลอดจนขยายตลาดไปประเทศอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อจะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าในระยะยาว
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าหากมีการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ตามนโยบายที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค จากทั้งผลกระทบโดยตรง (Direct Effects) เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาที่สูงกว่าประเทศในภูมิภาค และผลกระทบทางอ้อม (Indirect Effects) หากจีนเปลี่ยนปลายทางสินค้าราคาถูกมาไทยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มที่จะได้รับผลประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมีค่อนข้างจำกัดจากภาพเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางในปัจจุบัน ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
ซึ่งหากเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีสัดส่วนการส่งออกที่สูงกว่าประเทศในกลุ่มภูมิภาค โดยปัจจุบันมีมูลค่าการส่งออก 47.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 17.1 (ปี 2566) ของการส่งออกไทยทั้งหมด และถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อยู่ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งน้อยกว่าไทย ยกเว้นเวียดนามที่มีสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ร้อยละ 29.5 ดังนั้น หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคโดยรวม
ดังนั้นหากสหรัฐฯ มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัย และหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทย ซึ่งจะซ้ำเติมการผลิตภายในประเทศที่อ่อนแอเป็นทุนเดิม ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ของภาครัฐที่จะต้องหารือและเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับข้อตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา ตลอดจนนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ให้กับภาคเอกชน เพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังมาถึง
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเอกชนจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลกและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาสู่ไทย เพราะทุกประเทศมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางภาษีใกล้เคียงกัน ตลอดจนขยายตลาดไปประเทศอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อจะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าในระยะยาว