ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังยังมีความนิยมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 2 แบรนด์ดังทั้ง M-150 และคาราบาวแดง กำลังแย่งชิงผู้นำตลาด ล่าสุดพบว่า โอสถสภาแม้มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงเหลือ 46% แต่ยังเป็นผู้นำตลาด ขณะที่ฝั่งคาราบาวแดง ภายใต้บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ส่วนแบ่งการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากอ้างอิงรายงานใน Opportunity Day ของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ที่เปิดเผยว่า ในรอบ 9 เดือนปี 2567 ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังอยู่ที่ระดับ 22,000 ล้านบาท เติบโต 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งโอสถสภายังเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 46% แต่ส่วนแบ่งการตลาดลดลงจากปีก่อน
ทั้งนี้ โอสถสภามุ่งเน้นกลยุทธ์กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อผลักดันการเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านผลิตภัณฑ์นวัตกรรม กิจกรรมการตลาดที่สร้างความแตกต่าง และการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพในเครือข่ายการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินแนวโน้มกำไรปกติ OSP ในไตรมาส 4/67 คาดกลับมาเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวทั้งธุรกิจในประเทศหลังน้ำลด และเห็นสัญญาณของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว
แม้ส่วนแบ่งการตลาดคาดจะทรงตัวที่ราว 46% แต่คาดได้แรงหนุน จากการออกสินค้าใหม่หลายตัว อาทิ Shark (ราคาขายปลีก 25 บาท) เริ่มจำหน่าย โดยเน้นกลุ่ม ลูกค้าแรงงานต่างชาติ, Babi Mild/Calpis x หมีเนย, M-150 Sparkling รสชาติใหม่ เป็นต้น
บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 8 – 9% จากการเติบโตของธุรกิจในประเทศที่ 5% โดยตั้งเป้ารักษาระดับส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ แต่เน้นการขยาย Portfolio ในกลุ่มสินค้าที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น อาทิ M-150 Sparkling รสชาติใหม่, ขยาย Shark ในไทย, เครื่องดื่ม Peptine, Oneday Vitamin เป็นต้น
ขณะที่ทำให้ Product Mix โดยรวมของ OSP จะดีขึ้น ควบคู่กับการบริหาร จัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยหนุน GPM และ NPM ให้สูงขึ้น และตั้งเป้าการเติบโตธุรกิจในต่างประเทศที่ระดับ Double Digit จากการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในเมียนมา, กลับไปรุกตลาดเวียดนาม ตั้งแต่ไตรมาส 1/68 (จะเริ่มกลับไปทำตลาดที่บางพื้นที่ก่อน โดยเน้นกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม)
อย่างไรก็ตามด้วยการดำเนินงานหลัก 9 เดือนปี 67 ที่ดีกว่าคาดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ จึงปรับ ประมาณการกำไรปกติปี 2567-2568 ขึ้น 6.6% และ 3.8% โดยคาดปี 2567 อยู่ที่ 3,096 ล้านบาท เติบโต 42.5% และปี 2568 คาดที่ 3,450 ล้านบาท เติบโต 11.4% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท
ขณะที่ในฝั่ง CBG ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ระบุว่า ยอดขายเครื่องดื่มคาราบาวแดง ในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากบริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท
รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุม ผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบลเพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มองว่า คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 94.00 บาท โดย การดำเนินกลยุทธ์คงราคาขายปลีกเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ 10 บาท/ขวด จะผลักดันการเติบโตยอดขายและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศในเชิงปริมาณของคาราบาวเป็น 26% ในปี 2568 ซึ่งค่อนข้างอนุรักษ์นิยมกว่าเป้าหมายของบริษัทในสิ้นปี 2568 ที่ 29%
โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของยอดขายในประเทศจากกลยุทธ์คงราคาขายปลีกเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ 10 บาท/ขวด ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่คู่แข่งหลักมีการปรับราคาขายปลีกขึ้นเป็น 12 บาท/ขวด
ซึ่งสะท้อนผ่านส่วนแบ่งการตลาดเดือน ก.ย. 2567 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 25.8% เทียบกับ 23.4% ในเดือน ธ.ค.25663 และ 19.9% ในเดือน มี.ค. 2565 (เดือนแรกที่คู่แข่งหลังปรับราคาขายปลีก) ประเมินยอดขายในประเทศจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2568 ที่ 7 พันล้านบาท โต 9% และคิดเป็น 53% ของยอดขายสินค้า Branded own ของบริษัท
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า คาดกำไรไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 879 ล้านบาท เติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 18% จากไตรมาสก่อน สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส
หนุนโดย 1.high season คาดรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศทำ All Time High ต่อ,ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากแจกเงิน 10,000 บาทกลุ่มเปราะปรางหนุน distribution business โตต่อเนื่อง และรายได้ต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง 2. GPM ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน
ดังนั้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 2,939 ล้านบาท เติบโต 53% และปี 2568 คาดกำไรสุทธิที่ 3,508 ล้านบาท เติบโต 19% จากรายได้ที่ขยายตัวต่อเนื่อง และ GPM ขยายตัว คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท