“นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ เปิดใจความคืบหน้าธุรกิจ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเกือบ 2 ปี กับเป้าหมายการขึ้นอันดับTop 5 ของอุตสาหกรรม
ผลงานหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์มา 2 ปี
การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เรามีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกำลังการผลิต ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่น TOP 5 ของประเทศ และจะพัฒนาธุรกิจปาล์มน้ำมันให้ Turnaround และมีธุรกิจพลังงานทดแทนและการบริหารกากอินทรีย์ ซึ่งหลังเข้าตลาด เดิมเรามีเป้าหมายต้องทำให้ได้ภายในปี 2026 แต่ปัจจุบันทำได้ตามเป้าหมายแล้ว ทำให้เราส่งผลงานได้เร็วกว่าที่เราตั้งใจไว้ถึง 1 ปี
สัดส่วนรายได้
1.ธุรกิจยางพารา สร้างรายได้ 83-85%
2.ธุรกิจปาล์มน้ำมันประมาณ 10%
3.ธุรกิจพลังงานทดแทนประมาณ 1%
แต่มองว่าไม่เกิน 1-2 ปีข้างหน้า การสร้างกำไรของบริษัทจะปรับเปลี่ยน เนื่องจากการสร้าง New S curve ให้กับธุรกิจด้านพลังงาน จากการขายพลังงานให้กับบริษัทนอกกลุ่ม ซึ่งผลตอบแทนจะเริ่มมีมากขึ้นปี 68 เห็นชัด แต่จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 67 ทำให้เห็นการสร้างรายได้จากพลังงานทดแทนเข้ามาในงบตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้
ส่วนของการขยายกำลังการผลิตยางแท่น ปีนี้ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตที่ 70,000 ตัน ทำให้ภายในสิ้นปี 2567 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 3.9 แสนตัน และในปี 2568 กำลังการผลิตยางแท่งจะเพิ่มเป็น 4.3 แสนตัน ขึ้นเป็น TOP 5 ของประเทศ
กลุ่มลูกค้าของบริษัท
ในกลุ่มธุรกิจยางพารา เน้นลูกค้าที่เป็นพรีเมี่ยม หรือผู้ผลิตยางล้อมาตรฐานไฮเอน มีสัดส่วน 60-70% โดยไม่ได้พึ่งพาภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเป็นหลัก เช่นกลุ่มลูกค้าในโซนยุโรป ก็จะมีโรงงานที่ตั้งอยู่ในเอเชียในอเมริกา ทำให้ลูกค้ามาจากในยุโรปประมาณ 40% ลูกค้ากลุ่มอเมริกา 10% และยังมีกลุ่มลูกค้าในอินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น และตั้งแต่ที่เข้าตลาดหุ้น เราได้ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าคนจีนโดยปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 5% แต่เป็นกลุ่มที่มีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก
มาตรฐาน EUDR สำคัญอย่างไร
EUDR เป็นมาตรฐานหลักของยุโรป แต่ไม่ได้จำกัดแค่ในเฉพาะยุโรป แต่กระทบถึงสินค้าที่ผลิตจากทั่วโลกที่ส่งไปขายในยุโรป และยังมีอีกมาตรฐานคือ SFC บริษัทจะทำให้กับลูกค้ารายใหญ่ ขณะที่ช่วงนี้มีกระแสข่าวการเลื่อนใช้มาตรฐาน EURD ออกไปเนื่องจากความไม่พร้อม
แต่เชื่อว่าการบังคับใช้มาตรฐาน EURD ยังมีอยู่แค่เลื่อนออกไปเท่านั้น ดังนั้นหาก EUDR ต้องเลื่อนออกไป วอลุ่มที่ทำให้กับลูกค้ายังไม่ได้หายไป โดยลูกค้ายืนยันที่จะซื้อเหมือนเดิม ไม่มีการยกเลิกทำให้สัดส่วนที่ส่งออกไปในยุโรป กับนอกกลุ่มยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพตลาด
แนวทางที่ทำให้เกษตรกรหันมาผลิตยางตามมาตรฐาน EUDR
บริษัทจะต้องให้พรีเมี่ยมกับเกษตรกร และบริษัทก็จะไปหาลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากยางประเภทนี้จะมีCost ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-18% จากราคายางปกติ
เร่งการขยายตลาดไปจีน
บริษัทมองว่าเป็นโอกาสในการเติบโต เนื่องจากบริษัทได้รับการยอมรับจากลูกค้าแล้ว และจีนตลาดที่ใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีปัญหาเรื่องการผลิตสินค้าที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่เมื่อเราขยายกำลังการผลิตทำให้รองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาได้มากขึ้น จึงมีความพร้อมในการขยายตลาดไปในประเทศจีนได้
ด้านธุรกิจปาล์มน้ำมัน
ช่วงก่อนเข้าตลาดเรามีเครื่องจักรในการผลิตแค่ 1 ไลน์การผลิต ทำให้มีปัญหาเวลาหยุดซ่อม ดังนั้นบริษัทจึงมีนโยบายนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นมาเพิ่มเครื่องจักร ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้น สามารถรองรับการผลิตได้ในช่วงพีคของปาล์มได้ ซึ่งปกติยอดขายปาล์มน้ำมันจะอยู่ที่ปีละ 3,000 ล้านบาท จึงเป็นอีก 1 Business Model ของบริษัท และเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะมารองรับผลเชิงบวกจากมาตรการของยุโรปในเรื่องมาตรฐาน SAF หรือน้ำมันที่ใช้ในอากาศยาน ที่จะมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก
ตั้งเป้าธุรกิจปาล์มน้ำมัน
มองว่า การ Turnaround เบื้องต้นไม่ได้อยู่ที่ยอดขายอย่างเดียว แต่จะต้องสร้าง Net profit margin ให้ดีขึ้น และให้ยั่งยืน และเราจะหาโอกาสการเติบโต โดยต่อยอดจากการทำงานวิจัยต่างๆของบริษัท และการหาพันธมิตรที่ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างการเติบโตของกำไรที่ยั่งยืน
ธุรกิจพลังงานทดแทน
มองว่าเป็นธุรกิจที่ในประเทศไทยยังมีโอกาสขยาย และเป็นธุรกิจที่ช่วยSupply Chain ในการลดขยะและนำขยะเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด แต่ปรากฏว่า ตัววัตถุดิบในอุตสาหกรรมมีเป็นจำนวนมาก หลายๆที่การลงทุนเพื่อจัดการขยะไม่คุ้มค่า และอาจเกิดคาร์บอนได้ จึงทำให้บริษัทเสนอตัวเป็นบริษัทจัดการขยะ ที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนที่ทำลายชั้นบรรยากาศโลก และยังได้พลังงานเกิดขึ้น ซึ่งอนาคตมองว่าพลังงานที่เราผลิตได้จะใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิสได้ และมีกำไรสูงถึง 30%
การรับมือกับค่าเงินบาทที่ผันผวน
บริษัทดูแลโดยการทำ Fix Forward และปิดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และความผันผวนของค่าเงินก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภูมิภาค ทำให้ไม่มีผลกระทบในเรื่องของการแข่งขัน
เป้าหมายผลประกอบการปี 67-68
ปี2567 ตั้งเป้ายอดขาย 15,000 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำได้ตามแผนโดยเติบโตประมาณ 40% ครึ่งปีหลังยังเป็นไปตามเป้าหมาย และตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ที่เข้าตลาดหุ้น ภายใน 2026 ยอดขายจะแตะที่ 22,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผน
วางเป้าหมายให้ TEGH ในอนาคต
บริษัทมีเป้าหมายที่จะให้ TEGH เป็น Sustainability และมุ่งไปสู่การเป็น Profit Ability และทำให้เป็น Green Transition ทั้ง Suppl Chain ไปหาเกษตรกร ซึ่งจะมีรายได้เพิ่ม และไปสู่ลูกค้าทำให้ได้ประโยชน์จากการใช้สินค้าเรา
บริษัทมีเป้าหมายจะรักษาการเป็นผู้นำที่ลูกค้าจะต้องยึดเราเป็น Suppl Chain เช่น ยางพาราที่เป็น Sustainable Material ของเรา ดังนั้นเวลาที่ลูกค้ามีปัญหาลดกำลังการผลิตแต่บริษัทเราจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสินค้าเราเป็นสินค้าที่จำเป็นที่ลูกค้าต้องใช้ในการผลิต