จับประเด็นหุ้นเด่น

สัมภาษณ์พิเศษ : TEGH เดินหน้าพันธกิจ ขึ้น Top 5 ของอุตสาหกรรม


25 พฤศจิกายน 2567

“นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ เปิดใจความคืบหน้าธุรกิจ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเกือบ 2 ปี  กับเป้าหมายการขึ้นอันดับTop 5 ของอุตสาหกรรม

สัมภาษณ์พิเศษ TEGH เดินหน้าพันธกิจ.jpg

ผลงานหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์มา 2 ปี   

การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เรามีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกำลังการผลิต ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่น TOP 5 ของประเทศ  และจะพัฒนาธุรกิจปาล์มน้ำมันให้ Turnaround และมีธุรกิจพลังงานทดแทนและการบริหารกากอินทรีย์  ซึ่งหลังเข้าตลาด เดิมเรามีเป้าหมายต้องทำให้ได้ภายในปี 2026 แต่ปัจจุบันทำได้ตามเป้าหมายแล้ว ทำให้เราส่งผลงานได้เร็วกว่าที่เราตั้งใจไว้ถึง 1 ปี  

สัดส่วนรายได้

1.ธุรกิจยางพารา สร้างรายได้ 83-85% 

2.ธุรกิจปาล์มน้ำมันประมาณ 10% 

3.ธุรกิจพลังงานทดแทนประมาณ 1% 

แต่มองว่าไม่เกิน 1-2 ปีข้างหน้า  การสร้างกำไรของบริษัทจะปรับเปลี่ยน เนื่องจากการสร้าง New S curve ให้กับธุรกิจด้านพลังงาน  จากการขายพลังงานให้กับบริษัทนอกกลุ่ม  ซึ่งผลตอบแทนจะเริ่มมีมากขึ้นปี 68 เห็นชัด แต่จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 67  ทำให้เห็นการสร้างรายได้จากพลังงานทดแทนเข้ามาในงบตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ 

ส่วนของการขยายกำลังการผลิตยางแท่น ปีนี้ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตที่ 70,000  ตัน  ทำให้ภายในสิ้นปี 2567 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 3.9 แสนตัน  และในปี 2568 กำลังการผลิตยางแท่งจะเพิ่มเป็น 4.3 แสนตัน  ขึ้นเป็น TOP 5 ของประเทศ 

กลุ่มลูกค้าของบริษัท

ในกลุ่มธุรกิจยางพารา  เน้นลูกค้าที่เป็นพรีเมี่ยม  หรือผู้ผลิตยางล้อมาตรฐานไฮเอน มีสัดส่วน  60-70%  โดยไม่ได้พึ่งพาภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเป็นหลัก  เช่นกลุ่มลูกค้าในโซนยุโรป  ก็จะมีโรงงานที่ตั้งอยู่ในเอเชียในอเมริกา  ทำให้ลูกค้ามาจากในยุโรปประมาณ 40%  ลูกค้ากลุ่มอเมริกา 10%  และยังมีกลุ่มลูกค้าในอินเดีย  เกาหลี  ญี่ปุ่น  และตั้งแต่ที่เข้าตลาดหุ้น เราได้ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าคนจีนโดยปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 5%  แต่เป็นกลุ่มที่มีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก

มาตรฐาน EUDR สำคัญอย่างไร 

EUDR เป็นมาตรฐานหลักของยุโรป แต่ไม่ได้จำกัดแค่ในเฉพาะยุโรป  แต่กระทบถึงสินค้าที่ผลิตจากทั่วโลกที่ส่งไปขายในยุโรป  และยังมีอีกมาตรฐานคือ SFC  บริษัทจะทำให้กับลูกค้ารายใหญ่ ขณะที่ช่วงนี้มีกระแสข่าวการเลื่อนใช้มาตรฐาน EURD ออกไปเนื่องจากความไม่พร้อม 

แต่เชื่อว่าการบังคับใช้มาตรฐาน EURD ยังมีอยู่แค่เลื่อนออกไปเท่านั้น  ดังนั้นหาก EUDR ต้องเลื่อนออกไป   วอลุ่มที่ทำให้กับลูกค้ายังไม่ได้หายไป โดยลูกค้ายืนยันที่จะซื้อเหมือนเดิม ไม่มีการยกเลิกทำให้สัดส่วนที่ส่งออกไปในยุโรป กับนอกกลุ่มยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพตลาด

แนวทางที่ทำให้เกษตรกรหันมาผลิตยางตามมาตรฐาน EUDR

บริษัทจะต้องให้พรีเมี่ยมกับเกษตรกร และบริษัทก็จะไปหาลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากยางประเภทนี้จะมีCost ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-18%  จากราคายางปกติ   

เร่งการขยายตลาดไปจีน

บริษัทมองว่าเป็นโอกาสในการเติบโต เนื่องจากบริษัทได้รับการยอมรับจากลูกค้าแล้ว และจีนตลาดที่ใหญ่  ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีปัญหาเรื่องการผลิตสินค้าที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่เมื่อเราขยายกำลังการผลิตทำให้รองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาได้มากขึ้น  จึงมีความพร้อมในการขยายตลาดไปในประเทศจีนได้ 

ด้านธุรกิจปาล์มน้ำมัน 

ช่วงก่อนเข้าตลาดเรามีเครื่องจักรในการผลิตแค่ 1 ไลน์การผลิต ทำให้มีปัญหาเวลาหยุดซ่อม  ดังนั้นบริษัทจึงมีนโยบายนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นมาเพิ่มเครื่องจักร  ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้น สามารถรองรับการผลิตได้ในช่วงพีคของปาล์มได้  ซึ่งปกติยอดขายปาล์มน้ำมันจะอยู่ที่ปีละ 3,000  ล้านบาท  จึงเป็นอีก 1 Business Model  ของบริษัท และเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะมารองรับผลเชิงบวกจากมาตรการของยุโรปในเรื่องมาตรฐาน SAF  หรือน้ำมันที่ใช้ในอากาศยาน ที่จะมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก 

ตั้งเป้าธุรกิจปาล์มน้ำมัน 

มองว่า การ Turnaround เบื้องต้นไม่ได้อยู่ที่ยอดขายอย่างเดียว แต่จะต้องสร้าง Net profit margin   ให้ดีขึ้น  และให้ยั่งยืน  และเราจะหาโอกาสการเติบโต โดยต่อยอดจากการทำงานวิจัยต่างๆของบริษัท และการหาพันธมิตรที่ทำงานร่วมกัน  เพื่อสร้างการเติบโตของกำไรที่ยั่งยืน

ธุรกิจพลังงานทดแทน

มองว่าเป็นธุรกิจที่ในประเทศไทยยังมีโอกาสขยาย และเป็นธุรกิจที่ช่วยSupply Chain ในการลดขยะและนำขยะเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด แต่ปรากฏว่า ตัววัตถุดิบในอุตสาหกรรมมีเป็นจำนวนมาก หลายๆที่การลงทุนเพื่อจัดการขยะไม่คุ้มค่า  และอาจเกิดคาร์บอนได้  จึงทำให้บริษัทเสนอตัวเป็นบริษัทจัดการขยะ  ที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนที่ทำลายชั้นบรรยากาศโลก และยังได้พลังงานเกิดขึ้น  ซึ่งอนาคตมองว่าพลังงานที่เราผลิตได้จะใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิสได้   และมีกำไรสูงถึง 30%  

การรับมือกับค่าเงินบาทที่ผันผวน

บริษัทดูแลโดยการทำ Fix Forward  และปิดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น  และความผันผวนของค่าเงินก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภูมิภาค ทำให้ไม่มีผลกระทบในเรื่องของการแข่งขัน  

เป้าหมายผลประกอบการปี 67-68 

ปี2567 ตั้งเป้ายอดขาย 15,000  ล้านบาท  ซึ่งครึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำได้ตามแผนโดยเติบโตประมาณ 40%   ครึ่งปีหลังยังเป็นไปตามเป้าหมาย และตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ที่เข้าตลาดหุ้น  ภายใน 2026  ยอดขายจะแตะที่ 22,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นไปตามแผน  

วางเป้าหมายให้ TEGH ในอนาคต

บริษัทมีเป้าหมายที่จะให้ TEGH  เป็น Sustainability และมุ่งไปสู่การเป็น Profit Ability และทำให้เป็น Green Transition  ทั้ง Suppl Chain ไปหาเกษตรกร ซึ่งจะมีรายได้เพิ่ม  และไปสู่ลูกค้าทำให้ได้ประโยชน์จากการใช้สินค้าเรา  

บริษัทมีเป้าหมายจะรักษาการเป็นผู้นำที่ลูกค้าจะต้องยึดเราเป็น Suppl Chain   เช่น ยางพาราที่เป็น Sustainable  Material ของเรา  ดังนั้นเวลาที่ลูกค้ามีปัญหาลดกำลังการผลิตแต่บริษัทเราจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสินค้าเราเป็นสินค้าที่จำเป็นที่ลูกค้าต้องใช้ในการผลิต