นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า สินเชื่อเดือน ต.ค. 67 กลับมาโตเล็กน้อย หนุนจากสินเชื่อธุรกิจที่ขยายตัวดีขึ้นจากรายงาน ธ.พ. 1.1. เดือน ต.ค. 2567
สินเชื่อรวมของกลุ่มกลับมาโต 0.2% จากเดือนก่อน โดยสินเชื่อธนาคารรายใหญ่โต 0.4% จากเดือนก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากสินเชื่อธุรกิจ ที่เร่งตัวขึ้นตามการเบิกจ่ายของบริษัทใหญ่เพื่อลงทุนขยายธุรกิจในช่วงปลายปี
สำหรับธนาคารขนาดกลาง สินเชื่อชะลอตัวลงต่อ 0.4% จากเดือนก่อนหน้า กดดันจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัว และการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารเพื่อควบคุมความเสี่ยงของพอร์ต
ธนาคารที่สินเชื่อโตเด่นสุด ในเดือน ต.ค. คือ BBL เติบโต 1.6% จากเดือนก่อนหน้า แต่ลดลง 1.2% จากปีก่อน หลังมีลูกค้าบริษัทใหญ่และลูกค้าสินเชื่อต่างประเทศ เข้ามาขอใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น
รองลงมาคือ KBANK เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.2% จากปีก่อน ซึ่งโตจากลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ เช่นกัน ขณะที่สินเชื่อในฝั่งรายย่อยยังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
ส่วน ธนาคารที่สินเชื่อลดลงแรงคือ KKP ลดลง 0.7% จากเดือนก่อน และลดลง 7.2% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการชะลอการขยายสินเชื่อในกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์มือหนึ่ง และเพิ่มเกณฑ์สำหรับปล่อยสินเชื่อใหม่ เช่น การเพิ่มเงินดาวน์ และคัดกรองลูกค้าเข้มงวดขึ้น
ขณะที่ TTB ลดลง 0.5% จากเดือนก่อน และลดลง 8.5% จากปีก่อน แม้สินเชื่อชะลอตัวลง แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วยการเร่งขยายสินเชื่อ Top Up เช่น Cash Your Car และ Cash Your Home ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง โดยที่ความเสี่ยงไม่เพิ่มจากผลิตภัณฑ์เดิมมากนัก
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า กลับมาเห็นภาพการเร่งขยายฐานเงินฝากอีกครั้ง โดยเงินฝากรวมของกลุ่มขยายตัว 1.8% จากเดือนก่อน กดดัน ให้ Loan to Deposit Ratio เดือน ต.ค. ปรับลงเหลือ 85% จาก 86.3% ในเดือน ก.ย. คาดจะส่งผลให้ต้นทุน ดอกเบี้ยของธนาคารในไตรมาส 4/67 ขยับขึ้นเร็วกว่ารายได้ดอกเบี้ยและทำให้ NIM มีแนวโน้มจะปรับตัวลง
ในมุมของ แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของกลุ่มธนาคาร เบื้องต้นคาดยังโตจากปีก่อน แต่จะลดลงจากไตรมาส3/67 ซึ่งได้รับแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง หลังสินเชื่อโตจำกัด และ NIM มีทิศทางต่ำลง จากทั้งการลดดอกเบี้ย และ ฐานเงินฝากที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับค่าใช้จ่ายลงทุนและค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานจะเร่งตัวขึ้น ทำให้ Cost to Income Ratio สูงขึ้น จากไตรมาสก่อนแต่ปัจจัยลบดังกล่าวบางส่วนจะถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่จะปรับตัวขึ้นเพราะเป็นช่วง High Season ของทั้งธุรกิจ Wealth Management และ ธุรกิจนายหน้าประกัน จึงคงคาดกำไรสุทธิปี 2567 ของกลุ่มธนาคารที่ 211,881 ล้านบาท โต 8.4% จากปีก่อน
ดังนั้นโดยสรุปภาพรวมนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เลือก SCB และ KBANK เป็น Top Pick เราคงน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร “เท่ากับตลาด” แม้การเติบโตของกำไรทั้งในไตรมาส 4/67
และในปี 2568 จะมีแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ปรับตัวลง แต่คาดธนาคารจะเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ และผลจากการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาหลายไตรมาส
สำหรับ Top Pick กลุ่มเลือก SCB ประเมินราคาเป้าหมาย 130 บาท ซึ่งมีจุดเด่นที่เงินปันผลสูง คาดปันผลช่วงครึ่งปีหลังจำนวนหุ้นละ 7.2 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.3% และมีปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง หลังขาย Purple Venture ออกไปแล้ว
ขณะที่ KBANK ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ราคา 175 บาท โดยคาดว่าการตั้งสำรองจะเริ่มผ่อนคลายลงต่อเนื่องจนถึงปี 2568 และเป็นธนาคารเดียวที่ได้อานิสงค์บวกจากการปรับใช้ TFRS17 ในธุรกิจประกันชีวิต โดย KBANK ถือหุ้นใน MTL จำนวน 51% และคาดให้ปันผลในครึ่งหลังปี 67 หุ้นละ 5.5 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ที่ระดับ 3.7%