รายงานพิเศษ : SAFE มั่นใจเทคโนโลยี PGTSeqA ผลักดันการเติบโตและสร้างรายได้
บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) บริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีสิทธิ์ใช้เทคโนโลยี PGTSeqA จากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา CEO เชื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าใช้บริการ ดันการเติบโตและรายได้พุ่ง
นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) มั่นใจ เทคโนโลยี PGTSeqA ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจและคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยการเติบโตและสร้างรายได้ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ SAFE ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีนี้จากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะเริ่มใช้วันที่ 23มกราคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อเปิดทางให้ทำ IVF ให้กับกลุ่มเพศทางเลือก สมรส หญิง-หญิง หรือ ชาย-ชาย แล้วต้องการมีลูกจำเป็นต้องใช้น้ำเชื้อบริจาค การฝากไข่ ซึ่งอาจตั้งครรภ์เอง หรือ ว่าจ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีกฎหมายมารองรับก่อน ส่วนกฎหมายอุ้มบุญ (Surrogacy law = การตั้งครรภ์แทน) หากกฎหมายเริ่มผ่อนคลายและเอื้ออำนวย จะส่งผลให้การให้บริการมีโอกาสเติบโตได้อีก 2-3 เท่า
ปัจจุบัน SAFE เปิดให้บริการรวมทั้งหมด 5สาขา ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ (กรุงเทพฯ), สาขารามอินทรา (กรุงเทพฯ), สาขาศรีราชา (ชลบุรี), สาขาภูเก็ต (ภูเก็ต) และสาขาขอนแก่น (ขอนแก่น) โดยแบ่งสัดส่วนของลูกค้าของบริษัทฯ เป็นคนไทย 53% ต่างประเทศ 47% โดยมาจาก จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินเดีย, เวียดนาม และกัมพูชา
"แนวโน้มในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ายังจะเติบโตได้ดี โดยมุ่งสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงบริษัทย่อยอย่างบริษัท เน็ก เจนเนอร์เรชั่น จีโนมิค (NGG) ที่ให้บริการการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์ และให้บริการด้านห้องปฏิบัติการ รวมถึงยังมีธุรกิจ Wellness ด้านผิวหนังและความงามสำหรับคุณแม่ก่อนและหลังคลอดบุตร มาช่วยสนับสนุนผลงานของบริษัทฯ ให้เติบโตให้อนาคต" นพ.วิวัฒน์ กล่าว
ขณะที่ บล.กรุงศรีระบุว่า มีมุมมอง Slightly negative ต่อข้อมูลจากการประชุมกับ SAFE เนื่องจาก 1.สมมติฐาน Treatment cycle มี downside จากการใช้บริการยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่
2.ค่าใช้จ่ายการตลาดมีแนวโน้มสูงกว่าคาด จากการทำตลาดเชิงรุกเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ PTG-A seq และขยายตลาดใหม่ๆร่วมกับเอเจนซี
และบล.กรุงศรีได้ปรับกำไรสุทธิปี 24F-26F ลงจากเดิม -8%-9% เป็น 179 ลบ. (เดิม 197 ลบ.) /210 ลบ. (เดิม 228 ลบ.) / 245 ลบ. (เดิม 267 ลบ.) เนื่องจาก 1) ปรับสมมติฐาน Treatment cycle ปี 24F-25F ลง 9-11% 2) ปรับสมมติฐานจำนวนทดสอบตัวอ่อน (NGG) ลง 10-12% 3) ปรับค่าบริการทดสอบตัวอ่อนลง -4% จากเทคโนโลยีใหม่มีอัตราค่าบริการถูกลง และการแข่งขันราคาในตลาด
โดยแนะนำ Trading Buy สำหรับ SAFE ปรับราคาเป้าหมายปี 25F ลงเป็น 16.30 บาท (เดิม 18.00 บาท) ประเมินด้วยวิธี DCF WACC 9.7% L-T growth 3% คิดเป็น Imply PE ปี 25F ที่ 23 เท่า เนื่องจาก 1) ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรสุทธิฟื้นตัวได้ q-q ตามการใช้บริการและเริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่
2) คาดปี 25F กำไรสุทธิ(+17%y-y) กลับมาเติบโตดีขึ้นตามทิศทางรายได้ (+12%y-y) และมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งการรักษาผู้มีบุตรยาก และการทดสอบตัวอ่อน นอกจากนี้ในเชิง Valuation ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย เทียบเท่า -1.0SD ของ Forward PE ปี 25F สะท้อนทิศทางกำไรสุทธิปี 24F ลดลงจากการปรับฐานรายได้มีอานิสงส์ปี มังกร