“ทองคำ” สินทรัพย์สุดฮอตที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่อง หากเกิดความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ หรือความขัดแย้งต่างๆ บนโลกใบนี้ ราคาทองคำมักตอบรับเชิงบวกทันที
โดยหากสำรวจราคาทองคำไทย ในปี 2567 “ทองคำแท่ง 96.5%” ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 9,550 บาท แต่เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวลดลงไปราว ๆ 1,150 บาท (อ้างอิงข้อมูลจากการประกาศราคาทองคำจากสมาคมค้าทองคำ ณ วันที่ 28 พ.ย.67) ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า “ทองคำ” จะยังน่าสนใจหรือไม่ Share2Trade หาคำตอบมาให้แล้ว
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทองคำยังน่าสนใจอยู่ไหม? ท่ามกลางราคาทองคำปรับฐานหลังจากมีสัญญาณความไม่ชัดเจนในการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งการยุติหยุดยิงของอิสราเอลตามที่ตกลงของทั้งสองฝ่าย
หากมองที่ Upside risk ของทองคำแล้ว ปัจจัยสำคัญประกอบด้วย ปัจจัยแรก เป็นเรื่องของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อรักษาโมเมนตัมระบบเศรษฐกิจ เฟดจะต้องพิมพ์เงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นมากในช่วงหลายปีมานี้ รวมถึงคาดว่าจะหนุนทองคำต่ออีกยาวนาน และปัจจัยที่ 2 คือประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งนี้เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความต้องการสินทรัพย์เช่นทองคำมากขึ้น
สำหรับ Downside risk เรามองสองปัจจัยสำคัญส่งผลต่อราคาทองคำ ประกอบด้วย 1.Higher for longer : ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยอาจสูงขึ้นเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในที่นี้ มีบางสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมหภาคสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรัมป์ประสบความสำเร็จผลักดันแผนปฎิรูปเศรษฐกิจ
และ 2.กลุ่มประเทศ BRICS+ จะไม่เคลื่อนไหวออกจากดอลลาร์ทันทีที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดหวังเกี่ยวกับ De-Dollarization กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราเชื่อว่าดอลลาร์น่าจะยังคงสถานะสกุลเงินสำรองของโลก
อย่างไรก็ตาม มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มค่าสำหรับการเลือกลงทุนในระยะยาว แต่ระยะสั้นอยู่โหมดปรับฐาน เชื่อว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทองคำ
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีความสำคัญมากกว่า อาทิ หนี้สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ตลาดพันธบัตรของอเมริกา และนโยบายการเงินของเฟด อย่างไรก็ตาม แผนภาษีของทรัมป์อาจช่วยหนุนเศรษฐกิจมหภาค แต่มันไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน สหรัฐฯ-รัสเซีย และตะวันออกกลางอาจรุนแรงขึ้นอีกและจะนำทองคำไปสู่จุดสูงสุดใหม่