Wealth Sharing
SMT ชงผู้ถือหุ้นจ่ายปันผล 0.06 บ. 27 เม.ย. นี้ โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เป้า 6.60 บ.
07 มีนาคม 2566
หลังจากโชว์ผลงานสุดพีคเมื่องวดผลการดำเนินงานปี 2565 ที่ผ่านมา SMT หรือ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำงวดผลการดำเนินงานปี 2565 (วันที่ 1 มกราคม 2565 -31 ธันวาคม 2565) ตอกยํ้าผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมเป็นเงินไม่เกิน 50,733,134 บาท ทั้งนี้บริษัทฯได้กันกำไรส่วนที่เหลือไว้เพื่อการลงทุนในอนาคตการจ่ายคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตของยอดขาย
ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 (Record date) และจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้ใจเสมอมา
ในขณะบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นในบทวิเคราะห์จากการประชุมงานนักวิเคราะห์ที่ผ่านมาว่า ภาพรวมปีของ SMT ในปี 2566 ผู้บริหารให้เป้าหมายได้ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท (+41% YoY) ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว 50% หรือราว 2.3 พันล้านบาท และ GPM ที่ระดับ 20% (Guidance ดังกล่าวบริษัทใช้สมมติฐานค่าเงินบาท/USD ที่ระดับ 33 บาท) อีกทั้งในปีนี้ บริษัทฯยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากพื้นที่โรงงานเดิมมีเพียงพอสำหรับการขยายไลน์การผลิตสินค้าใหม่ คงให้คำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 6.60 บาท
ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 (Record date) และจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้ใจเสมอมา
ในขณะบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นในบทวิเคราะห์จากการประชุมงานนักวิเคราะห์ที่ผ่านมาว่า ภาพรวมปีของ SMT ในปี 2566 ผู้บริหารให้เป้าหมายได้ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท (+41% YoY) ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว 50% หรือราว 2.3 พันล้านบาท และ GPM ที่ระดับ 20% (Guidance ดังกล่าวบริษัทใช้สมมติฐานค่าเงินบาท/USD ที่ระดับ 33 บาท) อีกทั้งในปีนี้ บริษัทฯยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากพื้นที่โรงงานเดิมมีเพียงพอสำหรับการขยายไลน์การผลิตสินค้าใหม่ คงให้คำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 6.60 บาท