การต่อยอดและการแตกไลน์ธุรกิจ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นที่บริษัทต่างๆดำเนินการในปัจจุบัน รวมทั้ง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ที่ปีนี้เน้นการทำธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านกาแฟ ที่ตั้งเป้าเพิ่มสาขาปีนี้แตะ 1,000 แห่ง
ธุรกิจน้ำมันหลังการระบาดของโควิด 19 กลับมาฟื้นตัวมากขึ้นจากการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้งธุรกิจ Non Oil ร้านขายกาแฟที่สร้างรายได้ให้บริษัทอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ต่างแนะนำ “ซื้อ”
โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน วิเคราะห์กิจการบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ระบุว่า บริษัทมีมุมมอง slightly positive ต่อ analyst meeting โดยสรุปประเด็นสำคัญดังนี้
i) เป้าหมายปี2023F ที่ aggressive ทั้ง oil และ non-oil business และมากกว่าที่เราและตลาดคาด ซึ่งหากทำได้จริงจะเป็นโอกาสของ upside
ii) ตั้งแต่ 15 กพ. ที่ผ่านมาที่ผ่อนปรนค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจาก 1.40 บาท/ลิตร ทำให้แรงกดดันค่ำการตลาดใน 1Q23F ลดลง และคาดกลับสู่ภาวะปกติเต็มไตรมาส ใน 2Q23F
iii) กลุ่ม non-oil โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์ไทย ที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 1,000 สาขา (จาก 511 สาขา) จะเป็น หนึ่งใน key catalyst ของปีนี้
ทั้งนี้ 1Q23F บริษัทอาจยังเผชิญแรงกดดันค่าการตลาดน้ำมันใน 45 วันแรกของไตรมาส ที่คาดว่าไม่สูงนัก และส่วนแบ่งขาดทุนจาก palm complex น่าจะยังมีผลต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนัก 2Q23F น่าจะมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติภายหลังรัฐผ่อนปรนการคุมค่าการตลาด น้ำมันดีเซลในปลาย กพ. ที่ผ่านมา เราคงกำไรสุทธิ 2023F ที่ 1.39 พันลบ. (+50% y-y) คง TP23F ที่ 17.0 บาท และคง Trading Buy โดยมองช่วง 2Q23F หากสถานการณ์ของค่าการตลาดน้ำมันและธุรกิจ palm complex ทยอยดีขึ้น ค่อยมองเป็นโอกาสสะสม
PTG ตั้งเป้าหมายปี 2023F ที่ aggressive ทั้ง oil และ non-oil business
- Oil business: ตั้งเป้า oil volume growth 8-12% y-y, ตั้งเป้าค่าการตลาดเฉลี่ยที่ 1.80-1.90 บาท/ลิตร (Vs. CNS est.; volume +2% y-y, ค่าการตลาด = 1.86 บาท/ลิตร)
- Non-oil business: ตั้งเป้า LPG volume growth 40-60% y-y (Vs. CNS est. +24% y-y), ตั้งเป้า other non-oil revenue growth 80-90% y-y (Vs. CNS est. +68% y-y)
- งบลงทุนปี 2023F ที่ 5.0-6.0 พันลบ. (Vs. 2022 ที่ 3.5 พันลบ.) โดยแบ่งเป็น oil business ที่ 1.0-1.5 พันลบ., non-oil business ที่ 2.0-2.5 พันลบ. และ new business ที่ 1.5-2.0 พันลบ.
- จะเห็นการขยายสาขา non-oil ที่มาก โดยเฉพาะพันธุ์ไทย ที่ตั้งเป้าเพิ่มถึง 1,000 สาขา
- Palm complex (PTG ถือ 40%) น่าจะรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไรในปี 2023F
ขณะที่บล.ฟิลลิป วิเคราะห์หุ้น PTG โดยคาดกำไรปี 66 ฟื้นตัวอย่างมีนัย คาดผลการดำเนินงานของธุรกิจน้ำมันฟื้น y-y ทำให้ฝ่ายฯปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 1,759 ลบ ฟื้นตัว 48% y-y เนื่องจากการปรับค่าการตลาดน้ำมันกลับสู่ภาวะปกติตามปี 2563 ทำให้คาดว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลจะปรับตัวขึ้นประมาณ 0.40-0.60 บาท/ลิตร แต่ในขณะเดียวกันค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มที่จะลดลงประมาณ 0.5-1.0 บาท/ลิตร
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของค่าการตลาดข้างต้นทางฝ่ายมองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อ PTG ค่อนข้างมาก เนื่องจาก PTG มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลอยู่ที่ราว 70% ของปริมาณการขายน้ำมันทั้งหมด และส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นน้ำมันเบนซิน ประกอบกับปริมาณการขายน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นโดยทางบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของปริมาณการขายน้ำมันในปี 2566 อยู่ที่ 8-12% y-y จากจำนวนสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น และการปรับปรุงสถานีบริการเพื่อเน้นการเติบโตจากยอดขายของสถานีเดิมให้มากขึ้น
ปี 2566 ตั้งเป้าขยายธุรกิจ Non-oil อย่างดุดัน
ในปี 2566 PTG ตั้งงบลงทุนได้ที่ประมาณ 5,000-6,000 ลบ ซึ่งเงินลงทุนส่วนมากจะอยู่ในธุรกิจ Non-oil และ New business เป็นหลัก เนื่องจากในปี 2566 PTG มีแผนที่จะขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 57 สถานีเนื่องจากจะเน้นการเติบโตของสาขาเดิมให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน PTG มีแผนที่จะขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทย (Punthai) เพิ่มขึ้นอีก 1,000 สาขา ซึ่งจะแบ่งเป็นสาขาแฟรนไชส์ 50% และสาขาที่เป็นเจ้าของเองอีก 50% โดยบริษัทคาดว่าการเพิ่มขึ้นของสาขาจะอยู่ในช่วง 2H66 เป็นหลัก ส่งผลให้คาดว่าปริมาณการขายมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
สถานการณ์ IPO ของ Palm complex
ความคืบหน้าของ Palm complex หลังจากการยื่น filling เรียบร้อยแล้วปัจจุบันทางบริษัทแจ้งว่าอยู่ระหว่างการติดตามสถานะการณ์ในการปรับสัดส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งในปัจจุบันแนวโน้มของธุรกิจยังเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการ IPO ภายในช่วง 2Q66 Ref. No.: CO2566_0327
Key Point
คาดกำไรปี 2566 ฟื้นตัวอย่างมีนัย เนื่องจากแนวโน้มค่าการตลาดที่กลับสู่ภาวะปกติตามปี 2563 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกำไรของธุรกิจน้ำมันอย่างมาก เนื่องจาก PTG มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลสูงถึง 70% ของปริมาณการขาย ประกอบกับการตั้งเป้าที่ค่อนข้าง aggressive ของการขยายสาขากาแฟพันธุ์ ไทย ทำให้คาดว่าปริมาณการขายมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นและทางฝ่าย ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 18 บาท
ธุรกิจน้ำมันหลังการระบาดของโควิด 19 กลับมาฟื้นตัวมากขึ้นจากการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้งธุรกิจ Non Oil ร้านขายกาแฟที่สร้างรายได้ให้บริษัทอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ต่างแนะนำ “ซื้อ”
โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน วิเคราะห์กิจการบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ระบุว่า บริษัทมีมุมมอง slightly positive ต่อ analyst meeting โดยสรุปประเด็นสำคัญดังนี้
i) เป้าหมายปี2023F ที่ aggressive ทั้ง oil และ non-oil business และมากกว่าที่เราและตลาดคาด ซึ่งหากทำได้จริงจะเป็นโอกาสของ upside
ii) ตั้งแต่ 15 กพ. ที่ผ่านมาที่ผ่อนปรนค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจาก 1.40 บาท/ลิตร ทำให้แรงกดดันค่ำการตลาดใน 1Q23F ลดลง และคาดกลับสู่ภาวะปกติเต็มไตรมาส ใน 2Q23F
iii) กลุ่ม non-oil โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์ไทย ที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 1,000 สาขา (จาก 511 สาขา) จะเป็น หนึ่งใน key catalyst ของปีนี้
ทั้งนี้ 1Q23F บริษัทอาจยังเผชิญแรงกดดันค่าการตลาดน้ำมันใน 45 วันแรกของไตรมาส ที่คาดว่าไม่สูงนัก และส่วนแบ่งขาดทุนจาก palm complex น่าจะยังมีผลต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนัก 2Q23F น่าจะมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติภายหลังรัฐผ่อนปรนการคุมค่าการตลาด น้ำมันดีเซลในปลาย กพ. ที่ผ่านมา เราคงกำไรสุทธิ 2023F ที่ 1.39 พันลบ. (+50% y-y) คง TP23F ที่ 17.0 บาท และคง Trading Buy โดยมองช่วง 2Q23F หากสถานการณ์ของค่าการตลาดน้ำมันและธุรกิจ palm complex ทยอยดีขึ้น ค่อยมองเป็นโอกาสสะสม
PTG ตั้งเป้าหมายปี 2023F ที่ aggressive ทั้ง oil และ non-oil business
- Oil business: ตั้งเป้า oil volume growth 8-12% y-y, ตั้งเป้าค่าการตลาดเฉลี่ยที่ 1.80-1.90 บาท/ลิตร (Vs. CNS est.; volume +2% y-y, ค่าการตลาด = 1.86 บาท/ลิตร)
- Non-oil business: ตั้งเป้า LPG volume growth 40-60% y-y (Vs. CNS est. +24% y-y), ตั้งเป้า other non-oil revenue growth 80-90% y-y (Vs. CNS est. +68% y-y)
- งบลงทุนปี 2023F ที่ 5.0-6.0 พันลบ. (Vs. 2022 ที่ 3.5 พันลบ.) โดยแบ่งเป็น oil business ที่ 1.0-1.5 พันลบ., non-oil business ที่ 2.0-2.5 พันลบ. และ new business ที่ 1.5-2.0 พันลบ.
- จะเห็นการขยายสาขา non-oil ที่มาก โดยเฉพาะพันธุ์ไทย ที่ตั้งเป้าเพิ่มถึง 1,000 สาขา
- Palm complex (PTG ถือ 40%) น่าจะรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไรในปี 2023F
ขณะที่บล.ฟิลลิป วิเคราะห์หุ้น PTG โดยคาดกำไรปี 66 ฟื้นตัวอย่างมีนัย คาดผลการดำเนินงานของธุรกิจน้ำมันฟื้น y-y ทำให้ฝ่ายฯปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 1,759 ลบ ฟื้นตัว 48% y-y เนื่องจากการปรับค่าการตลาดน้ำมันกลับสู่ภาวะปกติตามปี 2563 ทำให้คาดว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลจะปรับตัวขึ้นประมาณ 0.40-0.60 บาท/ลิตร แต่ในขณะเดียวกันค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มที่จะลดลงประมาณ 0.5-1.0 บาท/ลิตร
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของค่าการตลาดข้างต้นทางฝ่ายมองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อ PTG ค่อนข้างมาก เนื่องจาก PTG มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลอยู่ที่ราว 70% ของปริมาณการขายน้ำมันทั้งหมด และส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นน้ำมันเบนซิน ประกอบกับปริมาณการขายน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นโดยทางบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของปริมาณการขายน้ำมันในปี 2566 อยู่ที่ 8-12% y-y จากจำนวนสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น และการปรับปรุงสถานีบริการเพื่อเน้นการเติบโตจากยอดขายของสถานีเดิมให้มากขึ้น
ปี 2566 ตั้งเป้าขยายธุรกิจ Non-oil อย่างดุดัน
ในปี 2566 PTG ตั้งงบลงทุนได้ที่ประมาณ 5,000-6,000 ลบ ซึ่งเงินลงทุนส่วนมากจะอยู่ในธุรกิจ Non-oil และ New business เป็นหลัก เนื่องจากในปี 2566 PTG มีแผนที่จะขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 57 สถานีเนื่องจากจะเน้นการเติบโตของสาขาเดิมให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน PTG มีแผนที่จะขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทย (Punthai) เพิ่มขึ้นอีก 1,000 สาขา ซึ่งจะแบ่งเป็นสาขาแฟรนไชส์ 50% และสาขาที่เป็นเจ้าของเองอีก 50% โดยบริษัทคาดว่าการเพิ่มขึ้นของสาขาจะอยู่ในช่วง 2H66 เป็นหลัก ส่งผลให้คาดว่าปริมาณการขายมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
สถานการณ์ IPO ของ Palm complex
ความคืบหน้าของ Palm complex หลังจากการยื่น filling เรียบร้อยแล้วปัจจุบันทางบริษัทแจ้งว่าอยู่ระหว่างการติดตามสถานะการณ์ในการปรับสัดส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งในปัจจุบันแนวโน้มของธุรกิจยังเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการ IPO ภายในช่วง 2Q66 Ref. No.: CO2566_0327
Key Point
คาดกำไรปี 2566 ฟื้นตัวอย่างมีนัย เนื่องจากแนวโน้มค่าการตลาดที่กลับสู่ภาวะปกติตามปี 2563 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกำไรของธุรกิจน้ำมันอย่างมาก เนื่องจาก PTG มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลสูงถึง 70% ของปริมาณการขาย ประกอบกับการตั้งเป้าที่ค่อนข้าง aggressive ของการขยายสาขากาแฟพันธุ์ ไทย ทำให้คาดว่าปริมาณการขายมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นและทางฝ่าย ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 18 บาท