Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 08-03-23


08 มีนาคม 2566
เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 08-03-23

08-03-23  สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ

***เมื่อวานเพิ่งจะพูดเรื่อง TACC เรื่องเปิดตัวเครื่องดื่มมาช่วยดับกระหายคลายร้อน “น้ำผึ้งมะนาว..วิตามินซีสูง" ลงโถกดเครื่องดื่มเย็น (Jet Spray) ในร้านเซเว่นฯ วันนี้ถึงคิว "ตัวพ่อ" ไม่ตกเทรนด์ค่ะคุนข๋า SNNP ที่เลิฟฟฟฟฟ ประกาศเปิดตัว “Jele Chewy” (เจเล่ ชิววี่)  เยลลี่เคี้ยวหนึบ รสชาติใหม่ "กลิ่นนมเปรี้ยว" ต้อนรับซัมเมอร์ มีวิตามินอี บี1 บี2 บี6 และ บี12 และปราศจากแคลอรี่

***"วิโรจน์ วชิรเดชกุล" บิ๊กบอส SNNP บอกว่าหลังจากที่เปิดตัวสินค้ามาถึง 7 รสชาติของ “Jele Chewy” ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับและกระแสดีกว่าที่คาดไว้ จึงได้พัฒนารสชาติใหม่กลิ่นนมเปรี้ยว เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่อยากได้รสชาติใหม่ๆ เป็นสร้างความแข็งแกร่งและตอกย้ำความเป็นผู้นำทางการตลาด ที่สำคัญคือการออกสินค้าใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2566 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

***เรื่องของหน้าร้อน-หรือ-ซัมเมอร์ที่ว่านี้มีกูรูหุ้นอีกค่ายมาแนะนำในธีม Summer Play ระบุว่าจากการศึกษาผลตอบแทนดัชนี SET50 และกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ช่วงฤดูร้อน คือ 
-กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG, OSP, SAPPE,ICHI)
-กลุ่มร้านอาหาร (MINT, CENTEL)
-กลุ่มค้าปลีก+ห้างสรรพสินค้า (CPALL, CRC CPN)
-กลุ่มก่อสร้าง (STEC,GLOBAL) 
ย้อนหลัง 5 ปีอิง 5 ช่วงเวลาพบว่าหุ้น Summer Play มัก Outperform SET ที่สุด เมื่อซื้อวันที่เข้าสู่ฤดูร้อนและขายกำไรหลังเข้าสู่ฤดูกาล 3 เดือน

*** หากซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าววันที่เข้าสู่ฤดูร้อน และขายหลังจากเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน 3 เดือน พบว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว +4.77% ดีกว่า SET, SET50 และ SET100 ที่ให้ผลตอบแทน -0.46%,-1.24%, -0.87% ตามลำดับ

***ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความเป็นไปได้ 80% ได้แก่ SAPPE (15.12%), STEC (10.85%) และ GLOBAL(2.94%) และหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความเป็นไปได้ 60% ได้แก่ CBG (7.34%), OSP (4.94%) และ CPALL(1.09%)

***นอกจากหุ้นในกลุ่มข้างต้นที่มีสถิติให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงฤดูร้อน SAPPE, STEC, GLOBAL, CBG, OSP, CPALL นอกจากนี้ ถ้าอิงภาพฤดูร้อนปี 2023 ที่มีแนวโน้มร้อนสูงกว่าปกติคาดว่าจะเปิด Upside ทางพื้นฐานหุ้นอื่นๆ ที่มีโอกาสได้ประโยชน์ด้วย อาทิ CRC, CPN, TACC, SNC, DOHOME,HMPRO

*** แวะมาที่หุ้นพลังงานมั่ง..ต้องเล่าวันนี้เด๋วตกเทรนด์!!!! เริ่มจาก SSP  หุ้นนี้โดนใจ!!! มีรายงานในประเด็น "ปีนี้เต็มไปด้วยดีล M&A" มีเซียนหุ้นแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 14 บาท โดยสรุปประเด็นที่น่าสนใจคือ
 1) อยู่ระหว่างศึกษาดีล M&A ในธุรกิจไฟฟ้ามูลค่าหลักพันล้านบาท คาดเห็นความชัดเจนในปี 2566 
2) ปัจจุบันมี partners ร่วมศึกษาโครงการในฟิลิปปินส์ และ ไต้หวัน 
3)ผู้บริหารคาดว่าแผน Master Plan VIII ของเวียดนามจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 2/66
4) การลงทุนผ่าน Sermsang Next Ventures ปัจจุบันได้ targetcompany แล้ว อยู่ระหว่างการศีกษาเพิ่มเติมคาดเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/66 โดยตั้งงบลงทุนราว 100-200 ล้านบาท 

***มีการประเมินว่า SSP มีโอกาสกลับมา outperform ตลาดในช่วงต่อไปจากความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในไทย 5.2GW ซึ่งจะประกาศผลรอบเทคนิคในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ และ Master plan VIII ของเวียดนามในช่วงครึ่งแรกปี 2566 นอกจากนี้ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PER เพียง 12x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่เทรดราว 20x ยัง laggard กลุ่มอยู่มาก

***อีกหุ้นที่น่าสนใจคือ EP ภายใต้การนำของ "ป๋ายุทธ" เปิดเผยถึงแผนงานปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตขึ้นมากกว่า 50% โดยประเมินว่ารายได้โรงไฟฟ้าจะเติบโตเกิน 2 เท่า เป็นผลจากการรับรู้จากโครงการ Solar Rooftop,  Solar farm  และการขายไฟฟ้าให้เอกชน ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ฟื้น หวังยอดขายโต 20% หลังปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนโครงการวินด์ฟาร์มขนาด 160 เมกะวัตต์ในเวียดนาม ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง!!! จะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้ หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเสนอความเห็นต่อรัฐบาลเวียดนามให้เร่งรับซื้อไฟฟ้าโดยเร็ว 

***ปิดท้ายวันนี้กับ PTG วางโรดแมป “Drive for Tomorrow” มุ่งยกระดับธุรกิจ Oil & Non-Oil ให้เติบโตและยั่งยืนทุกมิติ เรื่องนี้บิ๊กบอสคนเก่ง "พิทักษ์ รัชกิจประการ" บอกชัดเจนว่า วางโรดแมปเพื่อต้องการสื่อสารถึงการยกระดับสถานีบริการ PT ยกระดับการบริการ PT Service Master ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข” 

***ในปี 2565 ที่ผ่านมาธุรกิจ Oil ของ PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 5,316 ล้านลิตร เติบโตขึ้น 5.9% จากปีก่อน โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากช่องทางการค้าปลีกผ่านสถานีบริการที่ 6.5% YoY นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน PT ครบวงจร (PT Max Park Salaya) ซึ่งเป็น Flagship รูปแบบแรกที่ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัย ติดตั้งหัวจ่ายน้ำมันระบบดิจิทัล พร้อมทั้งจัดให้มีพนักงาน PT Service Master เข้ามาอำนวยความสะดวกในส่วนของการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน ซึ่งทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษ เพื่อมาเสริมด้านการบริการให้สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่กลุ่มลูกค้า 

***ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ได้ร่วมมือกับ กฟผ.ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้นามว่า Elex by EGAT Max โดย ณ สิ้นปี 2565 Elex by EGAT Max ได้ติดตั้งไปแล้ว 35 สถานี และมีแผนที่จะติดตั้งเป็น 65 สถานีในปี 2566 กระจายตามจุดสำคัญทั่วประเทศ  

***ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยของ PTG พร้อมเติบโตตามแผนกลยุทธ์ 4 ด้าน คือ 1.มุ่งขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมัน PT 2.รังสรรค์เครื่องดื่มใหม่ ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติดีและหาทานได้ยากจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย 3.เน้น Delivery Platform ให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการรับรู้ (Awareness) การมองเห็น (Visibility) และการเข้าถึงแบรนด์ของลูกค้า (Accessibility)  4.นำข้อมูลลูกค้าจากบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและความถี่ของการเข้าใช้บริการร้านกาแฟพันธุ์ไทย 

***นอกจากนี้ ยังมี Enabler สำคัญที่ได้เข้ามาช่วยเสริม ธุรกิจ Oil และ Non-Oil ก็คือ Max Me เป็น Application ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกบัตร PT Max Card ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 19 ล้านสมาชิก ให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมแต้มเสมือนบัตร PT Max Card อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน e-Wallet ให้สามาถใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือในยุคดิจิตอลไลฟ์สไตล์ สอดคล้องกับยุคสังคมไร้เงินสด ภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะมี Retail Oil Market Share กว่า 25% มีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิกครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ และมีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา