SAFE ผู้นำเทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร ยืนหนึ่งมีอัตราความสำเร็จสูงกว่า 70%
อีกหนึ่งบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมกำลังเติบโต นั่นคือ บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE ผู้ให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจรด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ รวมทั้งให้บริการห้องปฏิบัติการทางด้านพันธุศาสตร์
ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด มีความเห็นว่า อุตสาหกรรม IVF อยู่ในช่วงเติบโตมากกว่า 14% โดย SAFE แก้ปัญหาการมีบุตรยากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจุดเด่นของ SAFE มีอัตราความสำเร็จมากกว่า 70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 48.5%
ขณะที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด มองว่าจะเพิ่มตลาด IVF ได้อีก 2-3 เท่า เหมือนที่มาเลเซียที่บูมมาก คาดปี 2568-69 จะกลับมาเติบโตระดับ 20% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 17.70 บาท
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” (เดิม Trading Buy) สำหรับ SAFE คงราคาเป้าหมายที่ 16.30 บาท มองเป็นโอกาสลงทุนสำหรับ SAFE โดยมีความน่าสนใจ คือ
1.ได้เปรียบในการแข่งขันจากจุดเด่นเป็นผู้นำเทคโนโลยีสำหรับให้บริการเพื่อการมีบุตร และมีทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จากวิธี ICSI+PGT เกินกว่า 70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 45% (ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข)
2.ให้บริการเป็นเครือข่ายมี 5 สาขา ครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ 2 สาขา (อัมรินทร์ พลาซ่า, รามอินทรา), ศรีราชา, ขอนแก่น และภูเก็ต ทำให้มีโอกาสขยายลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ
3.มีตำแหน่งทางการตลาดชัดเจนจับลูกค้าพรีเมี่ยม โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานให้บริการมากกว่าแข่งขันราคา ประกอบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มกำลังซื้อค่อนข้างสูง ทำให้มีความอ่อนไหวต่อราคาไม่มาก
4.ธุรกิจหลักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตขาขึ้น ประกอบกับอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกและประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตร เพื่อลดปัญหาโครงสร้างประชากรในระยะยาว
5.คาดปี 2568-69 กำไรสุทธิเติบโตต่อปี 17% (CAGR) มีปัจจัยผลักดันจากคาดรายได้ให้บริการเติบโตเฉลี่ย 12%CAGR ตามการให้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีผลบวก Economies of scale ของจำนวนการให้บริการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนรอบการเก็บไข่ (OPU Treatment cycle) และบริหารค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพ
ทำให้คาดอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิดีขึ้นจาก 55.1% / 21.2% ในปี 2567 เป็น 56.8% / 23.2% ในปี 2569 ตามลำดับ รวมทั้งมีโอกาสเกิด upside จากกลยุทธ์เติบโตแบบ In-Organic
สำหรับเดือน ต.ค.-พ.ย.67 มีสัญญาณบวกของการใช้บริการเพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดีย, เวียดนาม และเริ่มให้บริการเทคโนโลยี PGT-A Seq สำหรับการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว
โดยในไตรมาส 4/67 คาดกำไรสุทธิราว 35 ล้านบาท ลดลง 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน โดยการฟื้นตัว จากไตรมาสก่อน ตามทิศทางรายได้ จากจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น ส่วนทั้งปี 2567 คาดมีกำไรสุทธิ 179 ล้านบาท ลดลง 11% จากปีก่อน
และปี 2568 คาดกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท กลับมาเติบโต 17% เนื่องจากมีผลบวกการทำตลาดเชิงรุกร่วมกับเอเจนซีต่างประเทศ และมี Economies of scale ของการให้บริการเพิ่มขึ้นทั้งบริการ IVF และบริการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน
ขณะที่ในปี 2568 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% เนื่องจากมีปัจจัยบวกต่อการเติบโต จาก 1.ให้บริการเทคโนโลยีใหม่ PGT-A seq เต็มปี ซึ่งมีจุดเด่นช่วยเพิ่มอัตราสำเร็จการตั้งครรภ์ และมีราคาถูกลง 2.ปีนักษัตร “มะเมีย” ในปี 2569 จะช่วยกระตุ้นความต้องการมีลูกได้บ้าง
3.การขยายตลาดร่วมกับเอเจนซีใหม่ในอินโดนีเซีย, บังคลาเทศ, พม่า และ 4. กฎหมายสมรสเท่าเทียบมีผลใช้บังคับ 22 ม.ค.2568
รวมทั้งกฎหมายลูกต่างๆ จะทยอยออกมา โดยเฉพาะกฎหมายอุ้มบุญ ทำให้ความต้องมีลูกเปิดกว้างในกลุ่ม LGBT โดยเฉพาะกลุ่ม ชาวต่างชาติ นอกจากนี้ผู้บริหารมองว่าการเจรจา M&A กับบริษัทในกลุ่ม Healthcare จะมีความชัดเจนต้นปี 2568 ซึ่งยังไม่รวมในเป้าหมายการเติบโตรายได้ปี 2568