หากจะพูดถึงบริษัทจดทะเบียนไทยที่เป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั่วไปในเวลานี้ ก็คงไม่พ้นบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ที่ได้ทุ่มเงินกว่า 7,970 ล้านบาท ในการร่วมลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภท mixed-use ในชื่อ The Happitat
แต่หลังจากประกาศข่าวดังกล่าวออกมา กลับกดดันให้ราคาหุ้นของ CPAXT ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยในวันที่ 17 ธ.ค.67 ราคาปิดที่ 26.75 บาท ปรับตัวลงมาถึง 24.11% จากราคาปิดตลาดวันที่ 13 ธ.ค. 67 ซึ่งรวมไปถึงหุ้นบริษัทแม่อย่าง CPALL ที่ราคาปิดตลาดในวันที่ 17 ธ.ค.67 ที่ 56.25 บาท ปรับตัวลงกว่า 9.64% จากปิดตลาดราคาวันที่ 13 ธ.ค. 67
ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการรวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์ถึงประเด็นดังกล่าวและผลกระทบจากการลงทุนโครงใหญ่ จะส่งผลต่อ 2 บริษัทแม่ลูกเช่นไรบ้าง
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีมุมมองลบต่อการลงทุนครั้งนี้ด้วย 3 เหตุผล เหตุผลแรกคือมีความเสี่ยงที่การดำเนินงานอาจไม่เป็นตามเป้าหมายบริษัท เพราะโครงการ mixed-use เป็น segment ใหม่ที่ CPAXT ยังไม่เคยทำมาก่อน ในขณะที่พื้นที่ตั้งโครงการบริเวณบางนา มีผู้ประกอบการรายใหญ่อยู่แล้วหลายรายแข่งขันดูรุนแรง
ขณะเดียวกันการลงทุนครั้งนี้คิดเป็นเงินลงทุน(ไม่รวมที่ดิน) ต่อหน่วยพื้นที่เช่าแพงกว่าโครงการที่มีลักษณะคล้ายกัน 31-48% และแพงกว่าการลงทุนโครงการด้วยวิธีต้นทุน 20% และหากใช้สมมติฐานตามบริษัท คาด 1-3 ปีแรกของโครงการนี้จะขาดทุนกระทบต่อกำไรปกติปี 2568- 2570 ของ CPAXT ลดลงจากปัจจุบัน 2-4% และคิดเป็นดาวน์ไซด์ต่อราคาหุ้น 1 บาท
ส่วนมุมมมองต่อ CPALL คาดผลกระทบน้อย เนื่องจาก CPALL ถือหุ้น CPAXT 60% ในขณะที่ดาวน์ไซด์ต่อกำไรของ CPAXT ที่หายไปคิดเป็นเพียง 1% ต่อปีของกำไรปกติปี 2568-2570 ของ CPALL แต่อย่างไรก็ดีไม่มีนัยยะต่อราคาหุ้นของ CPALL จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 81 บาท
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) คาดการณ์การลงทุนนี้จะทำให้กำไรของ CPAXT ในปี 2568 ลดลงเพียง 413 ล้านบาท หรือ 3% ของประมาณการกำไรในปี 2568 และเมื่อโครงการเปิดตัวการขาดทุนควรจะลดลงในปี 2569-2567 ในขณะที่ CPAXT ตั้งเปั้าให้โครงการเริ่มสร้างกำไรได้ในปี 2571