เข้าสู่ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี 2567 ซึ่งจะเป็นช่วงที่นักลงทุนหลายๆคน จะเริ่มหาธีมลงทุนหรือปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับสถานการณ์ของตลาดทุนในปีถัดไป ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการหยิบยกมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านกัน
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินหุ้น Domestic ยังถือเป็นธีมเด่นของปี 68 แนะนำเน้นลงทุนหุ้น Best Picks 2025 กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE กลุ่มขนส่ง BTS กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, HMPRO กลุ่มท่องเที่ยว AWC กลุ่มปิโตรเคมี IVL
สำหรับปัจจัยพื้นฐาน KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 176 บาท เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2567-2568 จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% ขณะเดียวกันคุณภาพของสินทรัพย์ดีขึ้น และคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไรไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันจากสำรองฯที่ลดลง และ P/BV ปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.66 เท่า ถูกกว่า SCB
KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท เพราะกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน แต่จะลดลงไตรมาสก่อน จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้
ADVANC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 290 บาท โดยยังมีอัพไซด์ 6.6% บวกกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงราว 4% และยังได้ sentiment เชิงบวกจากการรุกให้บริการคลาวด์ในปีหน้าหนุนการเติบโตระยะยาว ส่วนคาดกำไรปีนี้เติบโต 16% ที่หรือ 33,641 ล้านบาท และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปีและจะเติบโตต่อเนื่องอีก 12% ในปีหน้า หรือจะอยู่ที่ 37,501 ล้านบาท
TRUE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า TRUE ยังคงเป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มจากการคาดการณ์กำไรหลักปี 68 เติบโต 81% และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งหลังปีงบ 68 จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.40 บาท ส่วนคดีความกับ TOT ประเมินผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นที่ประมาณ 1.27 หมื่นล้านบาท หรือ 0.37 บาท/หุ้น ดังนั้นหากราคาหุ้นลดลงมากกว่า 0.37 บาท/หุ้น มองว่าเป็นโอกาสในการซื้อ
BTS นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลการดำเนินงานยังคงชะลอตัวในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จึงไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตามคาดการณ์การชำระหนี้ E&M เพิ่มเติม จากกทม.น่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นได้ นอกจากนั้นการขยายระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯและปริมณฑลในอีกหลายปีข้างหน้าจะเสริมสร้างโอกาสในการเติบโตในระยะยาว จึง แนะนำ “ถือ” ไม่มีราคาเป้าหมาย
BJC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท โดยในปัจจุบันหุ้นซื้อขายบน P/E 68 ที่ 19 เท่า และ P/BV ที่ 0.7 เท่า ซึ่งเป็นหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จึงแนะนำสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากผลประกอบการปี 2568 จะฟื้นตัวกลับมาเติบโตที่ระดับ 15-20% จากปีก่อนหน้า
CPALL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท จากแนวโน้มกำไรเติบโตที่แข็งแกร่งและฐานกำไรที่ใหญ่ขึ้น ตามปัจจัยบวก อย่างการที่บริษัทขยายสาขาในกัมพูชาและสปป.ลาวเร็วกว่าคาดและส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT สูงกว่าคาด เพราะได้ประโยชน์จาก synergy ระหว่าง Makro และ Lotus’s มากกว่าคาด
HMPRO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท เนื่องจากในปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายด้วย P/E ที่ 18.4 เท่า เป็นที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาผู้ค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านของไทย และแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้าจากผลประโยชน์ทางอ้อมจากการแจกเงินสดของรัฐบาลและช่วงไฮชีซั่นของการช้อปปิ้ง รวมไปถึงการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่พลิกเป็นบวก
AWC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท จากการเปิดตัว Jurassic World ณ Asiatique เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท และกำไรสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเติบโตจากช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 4/67-1/68 จากฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทยและการเปิดโรงแรมใหม่ในไตรมาส นอกจากนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา มองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน
IVL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 24 บาท บนโอกาสอัพไซด์ของการฟื้นตัวเร็วของส่วนต่างราคา PET หากโรงผลิตจีน cut run ชดเชยกำลังการผลิตใหม่ได้มากกว่าคาด การลดค่าใช้จ่ายคงที่ได้มากกว่าคาดหลัง optimize asset ราว 990 ล้านบาท และกำไรพิเศษหากขายสินทรัพย์ได้สำเร็จ โดยมีทิศทางการฟื้นตัวของกำไรในครึ่งปีหลังปี 67 ถึงปี 2568 ที่ซัพพลายตึงตัวขึ้น และต้นทุนคงที่ลดลงหลังปิดโรงงานคอยหนุน