เป็นสัปดาห์นี้ก็ถือเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่นักลงทุนและมนุษย์เงินเดือนจะได้ลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีทั้ง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) เพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ในปี 2567 กัน
แต่หากใครที่ยังคงลังเลหรือกำลังมองหากองทุนกลุ่มดังกล่าวที่น่าสนใจ ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้การสำรวจถึงมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่ได้ให้คำแนะนำถึงกองทุนประหยัดภาษีที่โดดเด่นมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนซึ่งสามารถรับชมรายละเอียดได้ตามข้อมูลด้านล่าง
โดยกองทุนรวมที่เราหยิบยกมาอยู่ภายใต้คำแนะนำจากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้แนะนำการลงทุนในกองทุนทั้ง 3 ประเภท เริ่มกันที่กองทุน SSF แนะนำ ประกอบไปด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส ชนิดเพื่อการออม หรือ K-FIXEDPLUS-SSF ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนถือเมื่อครบกำหนด (YTM) 2.24%, อายุเฉลี่ยตราสารหนี้ 2.5 ปี มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 500 บาท
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม ชนิดเพื่อการออม หรือ K-GINCOME-SSF ที่มีนโยบายลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลก ผ่านกองทุนต่างประเทศอย่าง JPMorgan Global Income Fund โดยเน้นลงทุนในตราสารที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูง ทั้งในรูปดอกเบี้ยหรือเงินปันผล โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 5 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม หรือ K-USA-SSF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่านกองทุนหลักอย่าง Brown Advisory US Sustainable Growth Fund โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน เพื่อการออม หรือ K-VIETNAM-SSF ที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ภายใต้เกณฑ์การคัดสรรหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
ถัดมากองทุน RMF ที่แนะนำ ประกอบไปด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ KFIRMF ซึ่งเป็นกองทุนที่จะลงทุนในตราสารหนี้ ผลตอบแทนถือเมื่อครบกำหนด (YTM) 2.91%, อายุเฉลี่ยตราสารหนี้ 3.3 ปี มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 500 บาท
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ KGINCOMERMF เป็นอีกหนึ่งกองทุนผสมที่มีนโยบายลงทุนตั้งแต่ตราสารหนี้ ตราสารทุน และหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก รวมถึงประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ผ่าน JPMorgan Global Income Fund โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 5 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
กองทุนเปิดเค โกลบอล ซีเล็คท์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ KGSELECTRMF เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นตลาดพัฒนาแล้วทั่วโลกเน้นหุ้นเติบโตและมูลค่ายังถูก ผ่านกองทุนหลักอย่าง JPMorgan Global Select Equity ETF โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ KINDIARMF ที่จะพานักลงทุนไปลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนทั้งที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศอินเดียหรือมีกำไรและรายได้หลักจากประเทศอินเดีย โดยกองทุนหลักเป็น Goldman Sachs India Equity ซึ่งมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ KGIFRMF โดยมีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่อยู่ในหมวดสาธารณูปโภค การขนส่ง พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุตสาหกรรม ผ่านกองทุนหลักอย่าง Wellington Enduring Assets Fund มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
สุดท้ายกับกองทุน TESG ที่แนะนำ ประกอบไปด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน หรือK-ESGSI-ThaiESG กองทุนตราสารหนี้ที่จะเน้นพันธบัตรรัฐบาลผลตอบแทนถือเมื่อครบกำหนด 2.61% อายุเฉลี่ยตราสารหนี้ 9.7 ปี มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 3 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 500 บาท
กองทุนเปิดเค บาลานซ์ 30 ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ K-BL30-ThaiESG ซึ่งจะเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนทั้งหุ้นไทยที่มีความโดดเด่นด้าน ESG และตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, ตราสารเพื่อความยั่งยืน และหรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน โดยความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 5 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท
และ กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ K-TNZ-ThaiESG โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยที่ผ่านเกณฑ์ ESG ในดัชนี SET 100 ซึ่งจะมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี SET100 TRI โดยมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 และใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท