หากนักลงทุนได้ติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ จะพบว่าได้ปรับตัวลงมาอย่างมีนัยสำคัญและมูลค่าการซื้อขายยังเบาบางลง ทำให้การจับกลยุทธ์การลงทุนเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้นหรือบางคนก็เลือกที่จะมองภาพของการลงทุนไปในปีถัดไปแทน
ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการรวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่ได้ออกความคิดเห็นต่อแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและเหล่านักลงทุนกันในครั้งนี้
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยปี 2568 มีโอกาสฟื้นตัว โดยจะได้รับแรงหนุนจากกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชน คาดว่ากำไรจะเติบโต 22%ประเมินดัชนีจะปรับขึ้นไปบริเวณ 1,550-1,600 จุด หรือมีอัพไซด์ราว 7-10%
นอกจากยังมีอัพไซด์จากปัจจัยภายนอก เช่น การใช้นโยบายการค้าและภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามเสถียรภาพทางการเมือง อาจเป็นความเสี่ยงที่มีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย Value Stock หุ้นมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปลอดภัยและมีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง (แนะนำ AOT, BBL, CPALL), Dividend Stock หุ้นปันผลสูงเพื่อสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตลงทุน (แนะนำ AP, BCP,LHHOTEL), Laggard Stock หุ้นที่ราคาปรับขึ้นช้า แต่ผลประกอบการปีหน้าเริ่มส่งสัญญาณบวก (แนะนำ BCH, GPSC, HMPRO) และ Mid-Small Cap Growth หุ้นที่กำไรจะเติบโตดีและมีอัพไซด์ (แนะนำ AMATA, AU, INSET)
ต่อมานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงเป้าหมายดัชนีปี 2568 ที่ 1,660 จุด ภายใต้แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตต่อเนื่องอีก 3% และมีอัพไซด์เพิ่มเติม จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก อาทิ และแรงบวกสำคัญจากการเข้าสู่รอบลงทุนใหม่ของไทย จากการลงทุนของรัฐบาลและเอกชน
ดังนั้น จึงประเมินปี 2568 ตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยภายในประเทศเป็นภูมิคุ้มกันความผันผวนและเป็นจุดตั้งต้นของวงจรการเติบโตครั้งใหม่ สำหรับหุ้นแนะนำ ประกอบไปด้วย ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE และหุ้นขนาดเล็ก INSET, JMT, MALEE, MOSHI
ถัดมานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองของตลาดทุนไทยในปี 2568 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังมีปัจจัยหนุนที่ทำให้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยจะกลับมา Outperform ภูมิภาคได้ เช่น มาตรการกระตุ้นการบริโภคครั้งใหญ่จากภาครัฐ, การเบิกจ่ายงบประมาณแบบเต็มปีครั้งแรกในรอบ 2 ปี, การลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัว จากเงินลงทุนผ่าน FDI เช่น Data Center, และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
โดยประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,450 จุด และสิ้นปีหน้าที่ 1,600 จุด โดยมีธีมการลงทุนและปัจจัยที่น่าสนใจในหุ้นรายตัวที่มีโอกาสเติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ผันผวน จึงมีโอกาสช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน และเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ในระยะยาว
ต่อมานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2568 โดยปัจจัยหลักผลักดันการเติบโตอย่างการปลดล็อคนโยบายการคลัง, การท่องเที่ยวที่ยังคงแข็งแกร่ง, การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนและเพิ่มฐานการส่งออก, การผ่อนคลายเงื่อนไขทางการเงินที่เข้มงวดอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนโยบายปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนของรัฐบาล และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและการชะลอตัวของจีนที่ไม่รุนแรง จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทย และ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหมายถึงเงินบาทที่อ่อนค่า จะผลบวกจากการท่องเที่ยว การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จึงคงเป้าดัชนี ตลาดหุ้นไทยปี 2568 ที่ 1,580 จุด และหุ้น Top Picks ประกอบไปด้วย AMATA, BH, CBG, CENTEL, COM7, CPALL, MINT, MTC, WHA และ TRUE
สุดท้ายนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด คงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2568 ที่ 1,630 จุด โดยคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยจะเติบโต 3% ในปี 67 และโต 11% ในปี 68 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้ามาช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก
ทั้งนี้ ธีมหุ้นการลงทุนในปีหน้ามี 6 ธีมได้แก่ ธีมหุ้น ESG จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นจากกองทุน Thai ESG (TESG) , ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และกลุ่ม Home improvement น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก FDI , ธีมหุ้นสถานบันเทิงครบวงจร, ธีมหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และธีมหุ้น Value play มีหุ้น Top pick คือ AMATA, BCH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB