รายงานพิเศษ : LEO ลุ้นผลงานไตรมาส 4/67 พลิกมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ลั่นธุรกิจใหม่หนุนรายได้-กำไรขั้นต้น
ผู้บริหารบมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ส่งสัญญาณเงินบาทแข็งค่า หนุนผลงานQ4/67 เป็นบวก รวมทั้งธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ก็สร้างรายได้ที่แข็งแกร่งให้บริษัท ตามยุทธศาสตร์เพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ให้แตะ 30-35%ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ การเคลื่อนไหวของเงินบาทค่อนข้างผันผวนนับจากต้นปี 2567 โดยเริ่มต้นปีด้วยการทยอยอ่อนค่าไปแตะระดับ 37.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือนครึ่งในเวลานั้น)
ท่ามกลางจังหวะที่ตลาดมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งน่าจะทำให้เฟดเลื่อนเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป กอปรกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของไทยที่ยังอ่อนแอ กระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย
แต่สถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
หลังข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เริ่มมีภาพอ่อนแอลง ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ดังนั้น ทิศทางค่าเงินบาทในช่วงท้ายปี 2567 จึงยังมีโอกาสแกว่งตัวตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โดยอาจมีการปรับฐานเป็นบางช่วง ทำให้คาดว่าเงินบาทจะปิดปี 2567 ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า ส่งผลดีต่อธุรกิจ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) โดยนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุว่า ผลงานในไตรมาส 4/67 หากในเดือนธ.ค. การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ประดับ 34 บาท/ดอลล์ จะส่งผลดีต่อบริษัท โดยบริษัทก็จะสามารถปรับรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 3/67 ให้พลิกกลับมาเป็นกำไรในไตรมาส4/2567
ซึ่งผู้บริหาร LEO ยังชี้แจงว่า การเติบโตของรายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัท ยังมาจากการรับรู้รายได้ของหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เช่น รายได้จากการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนของบริษัท LEO Sourcing and Supply Chain รายได้จากกาขนส่งสินค้าทางรถไฟจากบริษัท LaneXang Express และ Sritrang LEO Multimodal Logistics รวมถึงรายได้จาก LEO Self-Storage โดยรายได้ของธุรกิจ Self-Storage มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2567 มีการเติบโตถึง 98% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2566 และเมื่อเปรียบเทียบ 9 เดือนปี 2567 กับ 9 เดือนปี 2566 เพิ่มขึ้น 68%
ธุรกิจใหม่ๆเหล่านี้จะสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆให้บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า
อีกทั้งบริษัทยังมีประเด็นสนับสนุน คือ ความคืบหน้าของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของบริษัทลีโอ ซอร์สซิ่ง ซัพพลายเซน จำกัด (บริษัทย่อย) กับกรมพาณิชย์ประจำนครคนหมิง ที่ได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 เพื่อพัฒนาส่งเสริมธุรกิจและการลงทุนกับผู้ประกอบการที่อยู่ในนครคนหมิง ซึ่งมีบริษัททยอยเข้ามาพูดคุยกับทางบริษัทๆเพื่อหาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาขายทุเรียนสด จำนวน 500 ตู้ 40 Reefer คอนเทนเนอร์ให้กับลูกค้ารายหนึ่งจากนครคุนหมิง โดยเป็นลูกค้าที่ได้รับการแนะนำจากกรมพาณิชย์ของนครคุนหมิง ทำให้บริษัทได้ลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือและมีเครดิตที่ดีมาเป็นลูกค้าของทางบริษัท
บริษัทได้เริ่มส่งออกสินค้าทุเรียนจากไทยไปคุนหมิงผ่านรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว - จีน (ที่ให้บริการโดยบริษัท LaneXang Express) โดยสินค้าส่งออกชุดแรกได้มีการส่งออกถึงนครคุนหมิงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชาวจีน และมีการสั่งทุเรียนต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถส่งมอบทุเรียนได้ครบจำนวน 500 ตู้ภายในฤดูกาลส่งออกทุเรียนของปี 2568 (เดือนเมษายน-สิงหาคม ของทุกๆปี) และจะมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2-3/68
จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 และภาพรวมธุรกิจทั้งปียังขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตามนโยบายอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ คาดว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของปี 2567 ของบริษัทอยู่ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับอัตราการจ่ายเงินปันผลในปี 2566 อย่างแน่นอน