Mr.Data
สถานการณ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 2567 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนและสิ้นหวังดัชนีลงไปทดสอบจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ 1,274.01 จุด (6 ส.ค.67) จากวิกฤติความเชื่อมั่นตลาดหุ้น ท่ามกลางความกังขานักลงทุนบางกลุ่มสามารถทำ Naked Short และการใช้โปรแกรม High Frequency Trading สร้างความผันผวนให้กับตลาด
จนเป็นที่มาของการปัดฝุ่น "กองทุนวายุภักษ์1" มูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท เข้าลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนต.ค.67 หนุนดัชนีทะยานขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดที่ 1,495.02 จุด (17 ต.ค.67)
อย่างไรก็ตาม จากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมประเมินว่าในปี 2568 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง บวกกับสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ร้อนแรงขึ้น การออกมาเคลื่อนไหวของม็อบเตรียมลงถนนในต้นปี 2568 จากประเดนชั้น 14 ของอดีตนายกฯทักษิณ และเอ็มโอยู 44
วันที่ 25 ธ.ค. 67 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 1,400.85 จุด ลดลงราว 10 จุด หากเทียบสิ้นปี 2566 ปิดที่ 1,415.85 จุด โดยสัปดาห์นี้ Mr.Data พามาสำรวจหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 4 อันดับแรกที่ให้ผลตอบแทนสูงตั้งแต่ 100-300%
เริ่มจากหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในปี 2567 คือ CCET ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.84 บาท เพิ่มขึ้น 302.65% SAMTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.42 บาท เพิ่มขึ้น 123.02% EE เพิ่มขึ้น 0.33 บาท เพิ่มขึ้น 122.22% และ TRUE เพิ่มขึ้น 5.70 บาท เพิ่มขึ้น 111.76%
ถือเป็น 4 หุ้นจตุเทพที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอย่างเป็นกอบเป็นกำ 1-3 เด้งภายในปีเดียว
…CCET สุดยอดหุ้นฮอตแห่งปี ถูกดึงเข้าคำนวณดัชนี SET50 - SET100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 มกราคม –30 มิถุนายน 2568)
ขณะเดียวกัน ยังถูกดึงเข้าคำณดัชนี MSCI รอบใหม่ มีผลบังคับใช้ในช่วงปิดตลาดของวันที่ 25 พ.ย. ในกลุ่ม Small cap Index
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 ของ CCET มีรายได้จากการขายสินค้า 1,145.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือเทียบเท่ากับ 38,955.61 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12.30% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากความต้องการเครื่องพิมพ์ ผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือเทียบเท่ากับ 676.03 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 93.63% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.01% เป็น 1.74% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 67 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 3,001.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือเทียบเท่ากับ 106,594.84 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิ 54.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเทียบเท่ากับ 1,953.69 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 89.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 0.91% เป็น 1.83%โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการบริหารธุรกิจโดยรวมที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
โดยนายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แคล-คอมพ์ อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) คาดการณ์ว่าผลประกอบการในอนาคตจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผน โดยโรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครจะเริ่มดำเนินการในปีนี้ และโรงงานใหม่ในจังหวัดเพชรบุรีจะเริ่มดำเนินการในปีต่อๆไป ซึ่งพร้อมรองรับคำสั่งซื้อที่มีมาร์จิ้นสูง นอกจากนี้สงครามการค้ายังคงดำเนินอยู่และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน และจีน-ไต้หวัน คาดว่าจะเร่งย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศไทยและประเทศอื่นๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ลูกค้ารายใหญ่สองรายได้ประกาศแผนการย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานใหม่ของ CCET เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์"
ด้านบล.กรุงศรี เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้น CCET โดยประเมินว่า การเติบโตของกำไรงวดไตรมาส 4/67 ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และความต้องการผลิตภัณฑ์ SSD นอกจากนี้ บริษัทยังมีโอกาสปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้น หรือ GPM ผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ SSD และเครื่องชาร์จ EV ที่มีอัตรากำไรสูง และคาดว่ากำไรปี 2568 จะเติบโต 25%
ทั้งนี้ CCET มีโรงงานใหม่ที่มหาชัย เป็นหนึ่งในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม และจะผลิต SSD ขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองการผลิต และจะเริ่มผลิตจริงในไตรมาส 1/68
ในขณะที่โรงงานใหม่ที่เพชรบุรี จะเน้นการผลิต printer อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการก่อสร้าง และจะเริ่มผลิตจริงในครึ่งแรกปี 2568 โรงงานใหม่เหล่านี้จะขยายกำลังการผลิตของกลุ่มจนถึงปี 2569 และจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนกำไรหลักของ CCET ในอนาคต
“ ปี 2568 จะเป็นหุ้นตัวไหน? ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ทำการบ้านกันให้ดี หาให้เจอ อยู่ให้นาน ขอให้ทุกคนโชคดี “