Wealth Sharing

FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นเดือนก.พ. เข้าสู่เกณฑ์ร้อนแรง ท่องเที่ยวฟื้น-เลือกตั้งหนุน


08 มีนาคม 2566
“ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับสู่เกณฑ์ร้อนแรง นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและการเลือกตั้ง ปัจจัยฉุดคือ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด หลังไทยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นและสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือน”

FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นเดือนก.พ_.jpg

 
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 121.13 ปรับตัวลดลง 24.3% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการเลือกตั้งในประเทศและการไหลเข้าของเงินทุน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อการกลับมาแพร่ระบาดของ Covid-19 หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น รองลงมาคือสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือน และสถานการณ์การเมืองในประเทศก่อนการเลือกตั้ง
 
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

▪ ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ลดลง 24.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 121.13

▪ ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”

▪ หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)

▪ หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเหมืองแร่ (MINE)

▪ ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว

▪ ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น
 
“ผลสำรวจ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 27.0% อยู่ที่ระดับ 121.62 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด  9.1% อยู่ที่ระดับ 125.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 28.2% อยู่ที่ระดับ 107.69 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 23.6% อยู่ที่ระดับ 122.22

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 SET Index ปรับตัวลดลงโดยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก นักลงทุนมีความกังวลว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องหลังจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการที่เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องซึ่งเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศห่างกันชัดเจน

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้โดยตัวเลข GDP ล่าสุดที่ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกาศ พบว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2565 ขยายตัวเพียง 1.4% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.5% ส่งผลให้ทั้งปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวแค่ 2.6% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ถึง 3.2% โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566  ปิดที่ 1,622.35 จุด  ปรับตัวลดลง 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กว่า 43,562 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 24,565 ล้านบาท
 
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของ  FED ปัญหาการจ้างงานจากแนวโน้มการลดคนอย่างต่อเนื่องของบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะความขัดแย้งในรัสเซีย—ยูเครน ซึ่งยืดเยื้อมานานการ 1 ปี และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ—จีน จากปัญหา “บอลลูนจีน” ที่รุกล้ำน่านฟ้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจลุกลามไปเรื่องสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นและนักท่องเที่ยวไทยจากมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับสู่ช่วงก่อน Covid-19 ได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศก่อนการเลือกตั้ง”