สัมภาษณ์พิเศษ : HFT วางกลยุทธ์การเติบโต ตั้งเครื่องจักรผลิตสินค้าไฮมาร์จิ้น รับดีมานด์ตลาดยุโรป-สหรัฐ
แม้ตลาดรถยนต์ปี 67 จะไม่สดใส แต่ในส่วนของตลาดรถจักรยาน-รถจักรยานยนต์ จะมีทิศทางอย่างไร เราไปติดตามมุมมองนี้กับ “จวง จื้อ เหยา” รองประธานบริษัท บมจ.ฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) (HFT) ฐานะผู้นำในการผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในสำหรับรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ และรถขนส่งขนาดเล็ก
พูดถึงธุรกิจของเรา
บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับยางรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ยางรถจักรยาน รวมทั้งรถที่มียางที่มีโครงสร้างเดียวกับรถที่ใช้ยาง 2 ล้อ ซึ่งเป็นรถที่มียางใน ใช้ไนล่อนเป็นส่วนประกอบ
โดยตลาดรถของบริษัทแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.รถจักรยาน
2.รถจักรยานยนต์
3.รถGolf
4.รถโกคาร์ท
5.รถATV
ฐานลูกค้าของบริษัทเป็นใครบ้าง
ลูกค้าเราบริษัทรถจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเหมือนกับรถจักรยานยนต์ที่บริษัทขยาดใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ก็เป็นลูกค้าของบริษัท
มองตลาดรถ 2 ล้ออย่างไร
ยังเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะตลาดรถจักรยาน ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น จากกระแสการลดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะตลาดในประเทศโซนยุโรป ที่มีการเติบโตที่ชัดเจน ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวมอยู่ที่ 10% โดยส่วนใหญ่เป็นตลาดพรีเมี่ยม
สัดส่วนการส่งสินค้าของเรา
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เป็นการส่งออกไปในต่างประเทศประมาณ 34-35% ที่เหลือเป็นการส่งออกไปในเอเชีย
ประเภทสินค้าที่ส่งออก
เป็นการส่งออกของยางรถมอเตอร์ไซค์ 64% และรถจักรยาน 36% แต่เชื่อว่าในช่วงสิ้นปีการส่งออกยางรถจักรยานจะเพิ่มขึ้น
มองตลาด E-Bike ในยุโรปอย่างไร
เนื่องจากประเทศในยุโรปส่วนใหญ่จะเน้นการใช้จักรยานเป็นเครื่องมือหลักในการเดินทาง โดยการขับขี่จะอยู่ที่ 30-50 กม./ชม. ขณะที่ E-Bike สามารถทำเวลาได้ที่70-80 กม./ชม. ดังนั้นตลาดรถ E-Bike จึงมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก และจะทำให้ราคายางของบริษัทมีมูลค่ามากขึ้น
กลยุทธ์การเติบโตของบริษัท
บริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดสู่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าแถบยุโรปและอเมริกา เนื่องจากอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น
ด้านมาตรฐานเกณฑ์การผลิตสินค้า บริษัทได้ปรับวิธีการผลิตสินค้าให้ได้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ประเทศในยุโรปกำหนด และจะไม่ใช่วิธีการปรับราคาขึ้นเป็นเครื่องมือทำการตลาด เพื่อดึงลูกค้าไว้กับบริษัทให้นานที่สุด
และบริษัทยังเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ด้วยการพัฒนาและแตกไลน์สินค้าใหม่ เช่น ยางรถกอล์ฟ รถเอทีวี และรถโกคาร์ท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตในตลาดอย่างต่อเนื่อง และยังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องและธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมศักยภาพและต่อยอดพัฒนาธุรกิจในกลุ่ม New S Curve
จุดแข็งของเรา
เราเป็นบริษัทขนาดเล็ก ที่สามารถปรับตัวได้เร็วตามความต้องการของลูกค้า ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่จะมีขั้นตอนและใช้เวลานานในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า และเนื่องจากยางพาราในประเทศไทยเป็นยางที่ได้รับมาตรฐานของ EUDR ทำให้บริษัทหาวัตถุดิบในการผลิตสินค้าได้ง่ายกว่า และยังเป็นไปตามมาตรฐานของลูกค้าในยุโรป นอกจากนี้บริษัทยังพยายามผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานอื่นๆในระดับสากล ซึ่งจะทำให้สินค้าของบริษัทได้รับการยอมรับมากขึ้น
มองตลาดรถในปี 67-68 อย่างไร
ปี67 ตลาดจักรยานยนต์ยังไม่กลับมาเหมือนเดิม แต่เชื่อว่าปี 2568 ตลาดจะกลับมาเติบโตเหมือนเดิม โดยปี2567 บริษัทยังเป้าหมายการเติบโตของรายได้ ที่10-15% และในปี 2568 จะเติบได้ในระดับ 10%
การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาส่งผลดีอย่างไร
เราได้ติดตั้งเครื่องจักรใหม่เข้ามา ซึ่งจะทำให้เราขยายการผลิตสินค้าได้พรีเมียมมากขึ้น เจาะตลาดพรีเมี่ยมได้มากขึ้น เช่น ตลาดรถจักรยานพรีเมี่ยมที่บริษัทยังไม่มีส่วนแบ่งทางการตลาด แต่ตลาดรถจักรยานยนต์ โกคารด์ ยังเชื่อว่าจะเติบโตได้ 10% และเครื่องจักรใหม่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากกว่าเดิม
แนวทางการลงทุนในพลังงานสีเขียว
เราลงทุนติดตั้งเกี่ยวกับการผลิตพลังงานสะอาดปีนี้ 160 ล้านบาท ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ 50% ทำให้การใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก และบริษัทกำลังพิจารณาลงทุนด้านโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มลงทุนปีนี้ และใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการขอสิทธิประโยชน์จากบีโอไอ เพื่อลดต้นทุนของบริษัท