Global Minimum Tax ความท้าทายที่บริษัทในตลาดหุ้นจะต้องเผชิญ โดยถือเป็นการปฏิรูประบบภาษีระหว่างประเทศครั้งใหญ่ ให้เป็นธรรมมากขึ้น ซึ่ง Global Minimum Tax มีกฎเกณฑ์ อย่างไร และกระทบบริษัทในตลาดหุ้นแค่ไหนบ้าง ทีมข่าวหาคำตอบมาให้แล้ว
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด มีความเห็นว่า ในแต่ละประเทศจะมีอัตราภาษีที่ไม่เท่ากัน ทำให้การแข่งขันทางการเกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกลุ่ม OECD ขึ้นเพื่อทำให้การค้าเป็นธรรม โดยปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 168 ประเทศ และจะมีอีก 5 ประเทศที่จะเข้าร่วม OECD ในปีนี้ โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศนั้น
Global Minimum Tax จะคิดภาษีที่ 15% โดยบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในประเทศ หรือ บริษัทไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีดังกล่าว มีเงื่อนไข 2 ข้อคือ 1. บริษัท มีรายได้รวม 20,000 ล้านยูโร และมีกำไร 10% หรือ 2. บริษัท มีรายได้รวมในไทย 750 ล้านยูโร ซึ่งในปี 2568 ประเทศไทยจะเริ่มใช้กฎหมายนี้ซึ่งจะทำให้บริษัทที่มาลงทุนไนไทยจะต้องโดนคิดภาษี 15%
ในแง่ของการแข่งขัน ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะว่าประเทศในแถบอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินโด มาเลเซีย สิงค์โปร์ และไทย จะเข้าร่วม OECD ทั้งหมด ทำให้ไม่ใครได้เปรียบเสียเปรียบนี้
ผลกระทบของ Global Minimum Tax จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทที่จ่ายภาษีต่ำกว่า 15%ตัวอย่างเช่น DELTA เดิมเสีย effective tax rate ประมาณ 4-5% ดังนั้น ถ้า DELTA เสียภาษี 15% จะมีผลต่อกำไรสุทธิประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ก็มีหุ้น TU, BGRIM ที่จะได้รับผลกระทบจากการคิดภาษีนี้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ในแต่ละประเทศก็จะมีกลยุทธ์ เพื่อทำให้บริษัทได้กำไรเพิ่มขึ้นชดเชยกับภาษีที่ต้องจ่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกประเทศ ดังนั้น คาดว่า Global Minimum Tax จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมาก
เปิดผลกระทบบริษัทในตลาดหุ้น
ขณะที่ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลในไทย เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ ขององค์กรเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ด้วยมาตรการ PILLAR 2 จัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าเกณฑ์ตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่า (GLOBAL MINIMUM TAX) ในอัตรา 15% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2568 เป็นต้นไป
ฝ่ายวิจัยสรุปบริษัทที่จดทะเบียนในตลท.ที่ศึกษา และมีฐานรายได้เข้าเกณฑ์มากกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีบริษัทที่อาจจะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามพบว่าส่วนใหญ่ที่ EFFECTIVE TAX RATE ต่ำกว่า 15% เป็นเพราะการได้รับ BOI ของธุรกิจในประเทศ ซึ่งน่าจะมีแนวทางแก้ไข หรือ ลดผลกระทบ
DELTA ในช่วง 9 เดือนปี 67 ที่ผ่านมา DELTA มีรายได้รวม 1.6 แสนล้านบาท และจ่ายภาษีที่อัตรา 2.4% เพราะได้รับการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI และมีโรงงานหลักอยู่ในไทยที่กำลังจะเข้า OECD ซึ่งหากต้องปรับไปใช้ภาษี 15% ตามเกณฑ์ของ OECD จะทำให้ภาษีจ่ายจะเพิ่มขึ้น 12- 13%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะได้รับการเยียวยา BOI นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินผลการดำเนินงานและมูลค่าหุ้น DELTA อย่างอนุรักษ์นิยม โดยกำหนดให้จ่ายอัตราภาษีที่ 15% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปในประมาณการแล้ว
TU ปี 2566 รายได้ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.36 แสนล้านบาท และ 9 เดือนปี 67 รวม 1.03 แสนล้านบาท ขณะที่ทั้งกลุ่มเสียภาษี หรือ (EFFECTIVE TAX RATE) 9M67 อยู่ที่ 7.6% ต่ำกว่า GMT ที่ 15% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้สิทธิทางภาษี BOI ในไทย ทำให้ภาษีธุรกิจในไทยอยู่ระดับต่ำ
ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลกับทางบริษัทเบื้องต้น แจ้งว่าตอนนี้อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ และรอความชัดเจนของภาครัฐ รวมถึงแนวทางการช่วยเหลือของ BOI ก่อน อย่างไรก็ดีหากประเมินผลกระทบภายใต้กรณีภาษีขึ้นเป็น 15% และองค์ประกอบอื่นคงที่ในปี 2568 (จากสมมติฐานของฝ่ายวิจัยกาหนดอัตราภาษีในประมาณการระดับ 7%) คาดส่งผลให้กำไรปี 2568 ลดลงราว 10%
GULF มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือสหรัฐฯ และ เยอรมนีในปี 2566 โดยในงวด 9 เดือนปี 67 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 3.1% และ 2.6% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15% เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 1.3% คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 13.4% มาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท
BPP มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือสหรัฐฯ โดยปี 2566 และงวด 9 เดือนปี 67 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 5.9% และ 9.5% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15% เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 6.6% คาดจะส่งผลให้กาไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 9% มาอยู่ที่ 3 พันล้านบาท
EGCO มีการลงทุนในกลุ่ม OECD คือสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยปี 2566 และ 9 เดือนปี 67 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 8.3% และ 14.1% ตามลำดับ เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 11.4% คาดจะส่งผลให้กาไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 4.1% มาอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท
BGRIM มีการรับรู้รายได้รวมจากในประเทศไทย และต่างประเทศ เข้าเกณฑ์เกิน 2.6 หมื่นล้านบาท/ปี และมีการลงทุนในประเทศสมาชิก OECD เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้น โดยในปี 2566 และ 9 เดือนปี 67 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 8.1% และ 16.0% ตามลาดับ
แต่อย่างไรก็ตาม ในประมาณการปี 2568 ของฝ่ายวิจัย เบื้องต้นกำหนดสมมติฐานอัตราภาษีของ BGRIM ที่ 7.3% ซึ่งหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ที่ 15% คาดจะส่งผลกระทบต่อกาไรปี 2568 ให้ลดลง 8.3% จากเดิมมาอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท
GPSC มี EFFECTIVE TAX RATE ปี 2566 และ 9 เดือนปี 67 ที่ 9.5% และ 1.4% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามในประมารการปี 2568 ของฝ่ายวิจัย ได้กำหนดให้มี EFFECTIVE TAX RATE เกินเกณฑ์ 15% แล้ว จึงคาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อประมาณการกำไรในปัจจุบันของ GPSC
RATCH มี EFFECTIVE TAX RATE ปี 2566 และ 9 เดือนปี 67 ที่ 13.6% และ 11.6% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามในประมาณการปี 2568 ของฝ่ายวิจัย ได้กำหนดให้มี EFFECTIVE TAX RATE เกินเกณฑ์ 15% แล้ว จึงคาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อประมาณการกำไรในปัจจุบัน
และRCL มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือ มีสำนักงานตัวแทนในเกาหลีใต้ , ปี 2566 และ 9 เดือนปี 67 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 7% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15%, เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 5.5% มาอยู่ที่ 2.69 พันล้านบาท