SCM ยอมรับผู้บริหารใหญ่ 2 ราย โดน Force Sell เหตุนำหุ้นค้ำประกันเงินกู้ สร้างความเสียหายให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย
ในที่สุดบริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ก็ออกมายอมรับแล้วว่าสาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลายวันทำการติดต่อกันนั้น
เป็นเพราะการทำธุรกรรมการเงินของผู้บริหารบางราย ที่นำหุ้นไปวางค้ำประกันไว้ และจ่ายหนี้คืนไม่ทันจึงทำให้ต้องโดนบังคับขาย หรือ Force Sell
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 ทาง SCM รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงประเด็นที่ว่าทำไมราคาหุ้นของบริษัทถึงปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา
SCM ให้เหตุผลว่าเกิดจากธุรกรรมทางการเงินส่วนบุคคลของผู้บริหารบางท่าน โดยธุรกรรมนี้เป็นการกู้ยืมเงินกับพันธมิตรทางการเงิน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
และเมื่อพันธมิตรดังกล่าวมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานในประเทศทำให้เกิดการขอคืนเงินต้นในระยะเวลาอันสั้น ผู้กู้ยืมไม่สามารถชำระเงินคืนได้ทันเวลา จึงเกิดการขายหลักทรัพย์ตามเงื่อนไข (Force Sell)
โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน SCM แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 2 รายที่มีฐานะเป็นเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ได้แก่ นาย สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ และ นาย นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ได้ทำรายการขายหุ้นของบริษัท
ดังนั้นเองจนทำให้นาย สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ เหลือการถือหุ้น จำนวน 34,922,900 หุ้น คิดเป็น 5.774% ส่วนนายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร เหลือสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 85,675,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.16%
สำหรับสิ่งที่เป็นคำถามตามมาก็คือว่า แล้วผู้บริหารเอาหุ้นไปวางค้ำประกันกับเจ้าหนี้เพื่ออะไร นำเงินไปใช้ประโยชน์เพื่อสนับสนุนธุรกิจบริษัทหรือไม่ และส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างไร
แต่ที่รู้ๆ คือผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับความเสียหายจากการที่มูลค่าหุ้นลดลงไปแล้วเกือบ 80% แค่ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน คิดอย่างง่ายๆ หากเราถือหุ้น SCM อยู่ที่มูลค่า 100,000 บาท แค่เพียงไม่กี่วันมูลค่าเงินลงทุนของเราหายไปจนเหลือแค่ 20,000 บาท แล้วแบบนี้นักลงทุนรายย่อยจะเชื่อมั่นในบริษัทอีกต่อไปได้อย่างไร
การกระทำของเหล่าผู้บริหารในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีบทเรียนมาให้เห็นกันแล้วนักต่อนัก แต่ก็ยังไม่วายที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แล้วแบบนี้จะทำให้นักลงทุนเชื่อใจการกระทำของผู้บริหารได้อย่างไรว่าจะไม่เป็นตัวการทำให้ราคาหุ้นดิ่งแรงๆแบบนี้อีก