Talk of The Town

ดร.นิเวศน์ เผยดัชนีตลาดหุ้นไทย กำลังอยู่ในช่วง “ตกต่ำระยะยาว” ชี้นักลงทุนถอดใจหนีลงทุนต่างประเทศ


07 มกราคม 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ระบุว่าปี 2025 และอาจจะปีต่อ ๆ ไปอีกหลายปี  ตลาดหุ้นไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักลงทุนคุ้นเคยมานาน  อาจจะเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น  จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะอยู่อย่างเดิมต่อไปอีกหลายปี  กลายเป็นเรื่องปกติ  หรือที่เราเรียกว่าเป็น  “New Normal”

ดร.นิเวศน์ เผยดัชนีตลาดหุ้นไทย_S2T (เว็บ) copy_0.jpg

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก  “การเปลี่ยนแปลงหลัก” ของเศรษฐกิจไทย  จากเศรษฐกิจโตเร็ว  เป็นเศรษฐกิจโตช้า  ซึ่งเป็นผลจากสังคมไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  คนเกิดใหม่น้อย  ในขณะที่คนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอายุน้อยมาก  เพราะภายในอีกไม่กี่ปี  แต่ละปีจะมีคนสูงอายุที่จะ “เกษียณ” ปีละเป็นล้านคน  ในขณะที่เด็กที่เติบโตถึงวัยทำงานใหม่มีแค่ 6-700,000 คนเป็นต้น  จำนวนคนทำงานที่ลดลงในแต่ละปีนั้น  จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยากมาก  ถ้าไม่ติดลบก็อาจจะดีมากแล้ว  ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเติบโตไปได้อย่างไร?  และถ้าเศรษฐกิจเหงาลงเรื่อย ๆ   ตลาดหุ้นจะโตไปได้อย่างไร?

New Normal แรกที่เกิดขึ้นชัดมากโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2024 ก็คือ  ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ลดลงหนักมากและอยู่ในระดับ 30,000 ล้านบาทบวกลบ  จริงอยู่  ในวันที่ตลาดหุ้นบวก  “แรง” ปริมาณซื้อ-ขายก็ดีขึ้นบ้างจากแรงเก็งกำไร  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิน 4-50,000 ล้านบาท  แต่ในวันที่ตลาดหุ้น “ตกหนัก”  ปริมาณการซื้อ-ขายก็มักจะ “ต่ำปกติ” ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมี “แรงช้อนซื้อ” จาก “นักเก็งกำไร” ที่คาดว่าหุ้นตกหนักเดี๋ยวก็จะปรับตัวขึ้นอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในสมัยก่อน

New Normal ต่อมาที่ผมคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นมาหลาย ๆ  ปีแล้วก็คือ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะกำลังอยู่ในช่วง “ตกต่ำระยะยาว” นั่นก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นในปีต่อ ๆ ไปมีแนวโน้มจะลดลงมากกว่าที่จะเพิ่มขึ้น  ซึ่งนี่ก็เริ่มแสดงให้เห็นแล้วล่าสุดในปี 2024 ที่ดัชนีหุ้น “ติดลบ” ต่อจากปี 2023 ที่ดัชนีก็ติดลบถึง  15%  และในปี 2022 ดัชนีก็บวกแค่ 0.7% จากปี 2021 

ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในอดีตตั้งแต่ปี 2542 หลังวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นเวลา 26 ปีมาแล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นไม่เคยติดลบติดต่อกัน 2 ปีเลย  หรือพูดง่าย ๆ  ถ้าปีไหนดัชนีติดลบ  ปีต่อไปตลาดหุ้นก็มักจะดีขึ้น  เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยนั้นมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีในอัตราสูงซึ่งทำให้หุ้นซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในระยะยาวดีขึ้นตาม  ดังนั้น  ในระยะเวลา 2-3 ปี  ก็เป็นเรื่องยากที่ดัชนีตลาดหุ้นจะแย่ติดต่อกัน 2-3 ปี  และว่าที่จริง  ผมเองก็ใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนประกอบเวลาที่ต้องทำนายว่า “ปีหน้าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง?”  และโดยทั่วไป  “ถ้าปีนี้แย่มาก  ปีหน้าก็จะต้องดี”  แต่ถึงวันนี้ผมต้องเลิกใช้แนวคิดนี้แล้ว

แน่นอนว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่มีทางที่จะลดลงเรื่อย ๆ  ทุกปีแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนาน  ดัชนีอาจจะปรับตัวลง 2-3 ปีหรือ 3-4 ปีแล้วก็ปรับตัวขึ้น  บางทีก็แรงมากระดับ 40-50% ก็เป็นไปได้ถ้าดัชนีตกลงไปมาก  แต่การปรับตัวขึ้นก็จะอยู่ไม่ทนและมักจะอยู่แค่ปีหรือสองปี  และก็จะปรับตัวลงมาใหม่จนอยู่ต่ำกว่าเดิมก่อนจะขึ้น  กระบวนการนี้อาจจะเกิดขึ้นยาวนาน  บางทีเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” หรือ  “Loss Decade” 

ว่าที่จริงตลาดหุ้นไทยนั้น  ถึงวันนี้เราก็พบปรากฎการณ์  “ทศวรรษที่หายไป” แล้ว 1 ทศวรรษ  แต่นั่นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรากำลังเจอในวันนี้แม้ว่าจะมีบางอย่างร่วมกันอยู่บ้าง  แต่สถานการณ์ต่อจากนี้ในปี 2025 ดูเหมือนว่าจะ “หนักกว่า” และแก้ไขได้ยากกว่า  และเราก็ต้องตระหนักว่า  มีโอกาสที่จะเกิด Loss Decade ซ้ำถ้าประเทศไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญในหลาย ๆ  ด้าน

New Normal เรื่องต่อมาก็คือ  การหันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI หรือคนที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานมากขึ้น   ที่จริงนักลงทุนไทยก็เริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  มาหลายปีแล้ว  แต่ตัวเลขการลงทุนโดยรวมของแต่ละคนก็ยังน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก  เหตุผลคงเป็นเพราะความคุ้นเคยและการรู้จักหุ้นไทยดีกว่าหุ้นต่างประเทศทำให้หลายคนก็ยังรีรอที่จะไปลงทุนในต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ปี 2025 ผมคิดว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยน่าจะ  “ถอดใจ” กับตลาดหุ้นไทย  กลยุทธหรือหลักการลงทุนหลาย ๆ  อย่างที่เคยได้ผลดี  ให้ผลตอบแทนดีมาก  ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล   รวมถึงเรื่องของการ “เก็งกำไร” ซึ่งเป็น “ปัจจัยหลัก” ที่ยึดโยงให้นักลงทุนเกาะติดกับตลาดหุ้นทุกวัน  ตอนนี้หลายคนก็ไม่อยากจะเล่นกันแล้ว  เพราะ “เล่นไปมีแต่เจ๊ง” ปริมาณการซื้อ-ขายก็ซบเซา  พลาดไปก็ติดหุ้น

พวกที่เน้นการลงทุนแบบพื้นฐานและแนว VI เองก็ “ถอดใจ” เหมือนกัน  การเติบโตของธุรกิจลดลงมาก  หรือไม่ได้โตจริง  ประกาศงบออกมาราคาก็มักจะไม่ไปไหน  หรือวิ่งไม่ทันไรก็ถูกเทขายตกลงมา—โดยนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ  ที่เน้นแต่จะขายและก็ขายต่อเนื่องไม่มีวันหมด  ดังนั้น  ไปลงทุนต่างประเทศดีกว่า  และเดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเพิ่มขึ้นมากที่ทำให้ไม่ต้องภาษีกำไรจากการลงทุน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผลงานการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 2-3 ปีมานี้ดีกว่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเห็นได้ชัด

New Normal ของนักลงทุน “รุ่นใหม่” ที่เห็นมาน่าจะเป็น 2-3 ปีขึ้นไปแล้วก็คือ  คนสนใจเรื่องของการลงทุนระยะยาวน้อยลงไปมาก  จิตวิทยาการลงทุนของพวกเขาก็คือ  การซื้อ-ขายหลักทรัพย์หรือตราสารระยะสั้นหรือการ “เทรด” เพื่อสร้างกำไรจำนวนมากและรวดเร็ว  คนพูดกันเป็น “เด้ง ๆ” เวลาเทรด ไม่มีใครสนใจซื้อหลักทรัพย์แล้วรอเป็นปี ๆ  เพื่อที่จะได้ผลตอบแทน 10 หรือ 20% ต่อปีกันแล้ว

หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนตอนนี้ 70-80% เป็นเรื่อง “เทคนิคในการเทรด” และการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายในเวลาอันสั้น  งานสัมมนาต่าง ๆ  ที่จะดึงคนเข้าร่วมต่างก็มีรายการการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ระยะสั้นและตราสารเช่นพวกเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ  เป็นรายการหลักและมากกว่าเรื่องของพื้นฐานหุ้นระยะยาวที่กำลังกลายเป็นตัวประกอบ  และถ้ามีก็จะเป็นเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก  “ลงทุนแบบ VI” เป็นรายการที่  “ตายไปแล้ว”

New Normal อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  การ Corner หุ้นที่เคยเฟื่องฟูมากในช่วงหลายปีก่อนที่มีการคอร์เนอร์หุ้นจำนวนมากและมีหุ้นให้เล่นกันแทบทุกวัน  ปี 2024 นั้นเป็นเวลาที่หุ้นโดยเฉพาะขนาดเล็กและกลางเกิดอาการ  “คอร์เนอร์แตก” กระจาย  ราคาหุ้นตกลงมาแรงมาก  แต่หุ้นตัวใหญ่ไม่กี่ตัวกลับถูกคอร์เนอร์หนักขึ้นเนื่องจากยังมีสตอรี่และผลประกอบการที่รองรับอยู่ 

อย่างไรก็ตาม  เมื่อถึงปลายปี 2024 “รอยปริ” ก็เกิดขึ้น  ผลประกอบการที่ดีก็อาจจะถดถอยลงในปี 2025  ตามสภาวะของอุตสาหกรรมที่น่าจะชะลอตัวลง  ในขณะที่ภาพรวมของตลาดหุ้นเองก็ไม่เอื้ออำนวยให้นักเล่นหุ้นมั่นใจในการเก็งกำไร  ดังนั้น  คอร์เนอร์หุ้นตัวใหญ่ก็อาจจะแตกได้  และนั่นก็จะทำให้ตั้งแต่ปี 2025 การคอร์เนอร์หุ้นอย่างกว้างขวางในตลาดหุ้นไทยกลายเป็นอดีตประเภท  “ครั้งหนึ่งในชีวิต”  การคอร์เนอร์หุ้นในอนาคตถ้าจะมีก็จะเป็นเรื่องของข้อยกเว้นที่นาน ๆ  จะเกิดขึ้นที

สุดท้ายของ New Normal ก็คือ  เมื่อตลาดหุ้นหงอยเหงาจนถึงขีดสุด  หุ้น IPO ก็จะหาคนสนใจซื้อยากและการทำ IPO ก็จะน้อยลงมาก  เพราะราคาที่ขายหุ้นจะต่ำลง  หุ้นของกิจการที่ดีจริง ๆ  ก็ไม่อยากจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ส่วนหุ้นของกิจการที่ไม่ดี  คนก็ไม่อยากจะจองซื้อ  ดังนั้น  IPO ก็อาจจะน้อยและเหงาลง  อาจจะหลายปีถ้าสถานการณ์ทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เปลี่ยน

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการคาดหมายและคาดเดาจากประสบการณ์และจากการศึกษาเรื่องของตลาดหุ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ  ประเด็นต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงนั้น  จริง ๆ  แล้วอยู่ในใจของผมมาหลายปีและก็ได้กล่าวถึงมาเป็นระยะ ๆ  จนถึงสิ้นปี 2024 ผมก็รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ  นั้น  ไม่น่าจะเป็น “เรื่องชั่วคราว” อีกต่อไป  และผมเองก็แทบไม่หวังแล้วว่ามันจะเปลี่ยนกลับมาเหมือนตลาดหุ้นเดิมที่ผมเคยเห็นในช่วง 10-20 ปีก่อน  หน้าที่ผมตอนนี้ก็คือต้องปรับตัวเองให้รับกับ  New Normal ใหม่นี้ให้ได้ดีที่สุด