จุดจบของ YGG ผู้นำธุรกิจแอนิเมชันและเกมสัญชาติไทย จุดเปลี่ยน! เพิ่มทุน PP หลังพ่ายเกมหุ้น
จุดเริ่มต้นจากสตาร์ทอัพดาวรุ่ง ผู้บริหารโดย 2 ผู้บริหารหนุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ ธนัช จุวิวัฒน์ และ ศรุต ทับลอย เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (YGG) ผู้นำธุรกิจออกแบบและจัดทำคอมพิวเตอร์กราฟิกส์เกี่ยวกับงานโฆษณา ภาพยนตร์ และเกมส์ โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 มกราคม 2563
ก่อนระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ธนัช จุวิวัฒน์ และ ศรุต ทับลอย ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร รวม 91%
ขณะที่สัดส่วนอีก 9% ถือโดย เอสเอ็มอี ไพรเวท อิควิตี้ ทรัสต์ ฟันด์ โดยธนาคารออมสิน กองที่ 1 ซึ่งเป็นกองทรัสต์ฯ ที่ถือหุ้นร่วมกันโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และธนาคารออมสิน เพื่อให้การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี (Venture Capital) ที่มีศักยภาพสูงและมีนวัตกรรม ทางธุรกิจ หรือสินค้า และมีศักยภาพในการเติบโตสูง
ผลการดำเนินงานของ YGG หลังเข้าตลาด ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563-2565 รายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และราคาหุ้นเคยทำสถิติสูงสุดที่ 40.50 บาท/หุ้น ในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 จากราคาไอพีโอ 5 บาท/หุ้น ในปี 2563
โดย 2563-2565 รายได้รวมอยู่ที่ 1,005.51 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 1,061.56 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 1,548.36 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 ลดลงมาอยู่ที 767.57 ล้านบาท และในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 414.05 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2563-2565 สร้างสถิติสูงสุดใหม่สอดคล้องกับรายได้ โดยในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 25.27 ล้านบาท ปี 2564 กำไรสุทธิ 29.16 ล้านบาท ปี 2565 กำไรสุทธิ 65.24 ล้านบาท ส่วนปี 2566 กำไรสุทธิลดลงเหลือเพียง 15.75 ล้านบาท และในงวด 9 เดือนปี 2567 พลิกขาดทุนสุทธิ 38.82 ล้านบาท
จู่ๆในวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ราคาหุ้น YGG ร่วงติดฟลอร์ หลังมีรายงานว่าผู้บริหารนำหุ้นไปเป็นหลักค้ำประกันกับบริษัทหลักทรัพย์มากถึง 46% ปิดตลาดที่ 4.08 บาท ลดลง 1.77 บาท เปลี่ยนแปลง 30.26% จากวันทำการก่อนหน้า มูลค่าซื้อขาย รวม 100.21 ล้านบาท
อีกทั้งราคาปิดล่าสุดยังถือเป็นจุดต่ำสุดรอบราว 3 ปีครึ่ง นับแต่เดือน ม.ค. 2564 และถือเป็นปฐมบท ของการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของหุ้น YGG ก่อนที่ ธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร YGG อดีตหุ้นใหญ่ 41.13% เหลือหุ้นในมือแค่ 0.96%
ขณะที่นายศรุต ทับลอย ขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง โดยในวันที่ 18-19 พ.ย.2567 ขายออกมาจำนวน 3,452,400 หุ้น ราคาเฉลี่ย 0.55 บาท และ 6,909,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 0.56 บาท
...นำมาสู่ “จุดเปลี่ยน” โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ หลังผู้ถือหุ้นใหญ่ YGG พ่ายเกมหุ้น จนถูกฟอร์ซเซล
โดยในวันที่ 7 มกราคม 2568 YGG แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท 45,001,406.50 บาท จากเดิม 346,000,000 บาท เป็น 300,998,593.50 บาท ด้วยการตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้จำหน่ายจ นวน 90,002,813 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 195,999,766.00 บาท เป็น 496,998,359.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 391,999,532 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ทั้งนี้ หุ้นเพิ่มทุนส่วนหนึ่งจะนำไปรองรับการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (YGG-W2) จำนวนไม่เกิน 141,999,532 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรรเท่ากับ 6 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W2 อัตราการใช้สิทธิเท่ากับ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิเท่ากับ 3.00 บาท โดยบริษัทจะแจ้งวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร YGG-W2 และกำหนดวันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W2 ให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไป
และหุ้นเพิ่มทุนอีกส่วนหนึ่งจะจัดสรรจำนวน 391,999,532 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 6 ราย ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.5400 บาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 135,000,000 บาท ได้แก่ จำนวน 10,000,000 หุ้นเสนอขายให้แก่ นายพิรัส ศิริขวัญชัย , จำนวน 20,000,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ รศ.นพ.สมศักดิ์เชาว์วิศิษฐ์เสรี, จำนวน 30,000,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ นางทัศน์ดาว ชมเชย, จำนวน 35,000,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ นายเธียรชัย ลีสิรวงศ์, จำนวน 75,000,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ นางสาวอัครภิทย์ตา มีชัยวงค์, จำนวน 80,000,000 หุ้น เสนอขายให้แก่ นายกิตติ ดุษฎีพฤฒิพันธุ์
ขณะที่ราคาหุ้น YGG วันที่ 7 มกราคม 2568 ทะยานแตะ 0.81 บาท +0.19 (30.65%) ตอบรับข่าวเพิ่มทุนขาย PP
...ถามว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ YGG คนใหม่ กิตติ ดุษฎีพฤฒิพันธุ์ เป็นใครมาจากไหน เขาถือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 2 ของ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) และนั่งในตำแหน่งกรรมการ TIGER
แล้วทิศทางของ YGG ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ??? เป็นเรื่องที่น่าติดตามยิ่ง
เพราะอย่าลืมว่า 2 ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร แทบจะไม่เหลือหุ้นในมือแล้ว
พวกเขาจะอยู่ต่อหรือไม่... หรือเตรียมย้ายรังใหม่ พร้อมโปรเจคที่อยู่ในมือหรือไม่ ใครจะไปรู้!