อีกหนึ่งประเด็นที่สร้างความร้อนแรงให้แก่บริษัทจดทะเบียนไทย ก็คือ ที่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร หาเสียงที่เชียงราย มีกล่าวถึงการที่ปีนี้ทางรัฐบาลมีแผนที่จะลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางแต่ก็สร้างผลกระทบไปยังราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงอยากพาจะผู้อ่านและนักลงทุนไปสำรวจถึงทิศทางกำไรในปี 2568 ของ 7 หุ้นโรงไฟฟ้าชั้นนำในตลาดทุน ผ่านมุมมองจากนักวิเคราะห์กันในครั้งนี้
โดยเริ่มกันที่ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 20,839 ล้านบาท เติบโต 20% การเติบโตจะมาจากโครงการในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานหมุนเวียนซึ่งคาดว่าจะมีโครงการออกมามากขึ้น แต่ยังคงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 65 บาท
GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ในปี 2568 ที่ 6,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% หนุนจากราคาก๊าซที่ลดลง กำไรที่เพิ่มขึ้นจาก XPCL และส่วนแบ่งกำไรที่มากขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง CFXD และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ Avaada ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 52 บาท
BGRIM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปี 2568 ที่ 2,532 ล้านบาท เติบโต 12% เนื่องจากคาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่อง ปริมาณขายไฟฟ้ารวมที่มีเติบโตต่อเนื่อง การเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ และการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลม Nakwol 1 ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 32 บาท
RATCH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินกำไรในปี 2568 ที่ 7,806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากการปรับสมมติฐานส่วนแบ่งกำไรที่สูงกว่าคาด จากโรงไฟฟ้า Paiton หน่วยที่ 3, 7 และ 8 ขนาดรวม 742 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 36 บาท
EGCO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2568 ที่ 8,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%จากโครงการ Yunlin ที่เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบได้ทั้งหมดภายในสิ้นปี 67 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯโดยเฉพาะAPEX ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 149 บาท
BPP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดกำไรปี 2568 ที่ 3,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากฐานต่ำในปี 2567 ที่กลุ่มโรงไฟฟ้า Temple I-II ในสหรัฐฯ มีผลประกอบการที่ลดลง ในปีนี้ทั้งปริมาณขายไฟฟ้าและอัตรากำไรจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ ดังนั้น คงคำแนะนำ “UNDERPERFORM” ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท
CKP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในปี 2568 ยังคงประมาณการกำไรที่ราว 1,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95% โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากคาดหวังการเดินเครื่องได้ปกติ (normal operation)โดยไม่มีการหยุดผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรี จึงคงแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมายที่ 4 บาท