รายงานพิเศษ : TIDLOR ธุรกิจปี 68 โตต่อเนื่อง สินเชื่อจำนำทะเบียนรถขยายตัว 10-15% หนุนความสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น
บริษัท ทริสเรทติ้งคาดธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถปี68ยังเติบโตแตะ 10-15% จากความต้องการสินเชื่อที่อยู่ระดับสูง กระตุ้นผลงาน บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โบรกเกอร์แนะนำ “ซื้อ” หลังความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ระบุว่า ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จะยังคงมีการเติบโตในระดับสูง เมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่นที่ 10-15% ในปี 2567-2568 แต่เป็นการเติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลง เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี โดยเฉลี่ยที่ 28.4% ในปี 2562-2566
ปัจจุบันธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 3.72 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เติบโต 17% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อมาจาก
1) ความต้องการสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง เพื่อเสริมสภาพคล่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และไม่ทั่วถึง
2) ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้นของธนาคารพาณิชย์จากความกังวลต่อ ปัญหาหนี้เสีย
3) การผันตัวของลูกค้าจากหนี้นอกระบบ
4) จำนวนบัญชีผู้กู้เพียง 6.4 ล้านบัญชี ณ 3Q67 เมื่อเทียบกับจำนวนรถ และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสม ที่มากถึง 42.5 ล้านคัน ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ดี สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ มีแนวโน้มเติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลงเนื่องจาก
1) ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ มากกว่ามุ่งเน้นการเติบโตในสภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเปราะบาง และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระที่ลดลงของลูกหนี้
2) ราคารถมือสองที่ปรับลดลง ทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับลดราคาประเมินของรถลง เพื่อสะท้อนมูลค่าของสินทรัพย์ที่ใช้เป็นประกัน และลดความเสี่ยงของความเสียหายจากผลขาดทุนรถยึด ซึ่งก็ส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อต่อรายลูกค้าลดลงด้วยเช่นกัน
3) ข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากสภาวะความตึงตัวของตลาดตราสารหนี้กระทบต่อแหล่งเงินทุน และความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ จากความกังวลของนักลงทุนหลังจากที่มีการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งส่งผลให้หลายบริษัทไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ครบจำนวน หรือมีการชะลอแผนการออกหุ้นกู้ออกไป โดยยอดการเสนอขายหุ้นกู้ใหม่ของบริษัทในกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคมีการปรับตัวลดลงถึง 23% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการบางราย จำเป็นต้องชะลอการปล่อยสินเชื่อเพื่อนำกระแสเงินสดรับส่วนหนึ่งไปใช้สำหรับการชำระคืนหนี้
การเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในช่วงที่ผ่านมา ยังคงนำโดยกลุ่มนอนแบงก์เป็นหลัก โดยมียอดคงค้าง 3.25 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 87.5% เทียบกับธนาคารพาณิชย์ที่มียอดคงค้าง 4.66 หมื่นล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 12.5% โดยในระหว่างปี 2562-2566 สินเชื่อจำนำทะเบียนรถของกลุ่มนอนแบงก์ เติบโตแบบทบต้นต่อปีโดยเฉลี่ยที่ 34.1% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์เติบโตแบบทบต้นต่อปี โดยเฉลี่ยที่ 7.4% ในปัจจุบันผู้นำในตลาดนี้ ยังคงเป็นกลุ่มนอนแบงก์เป็นหลัก โดยผู้ประกอบการ รายใหญ่ที่สุด 3 ราย ได้แก่ MTC , TIDLOR และ SAWAD ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากกว่า 65%
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โดยระบุว่า มีความมั่นใจใน TIDLOR มากยิ่งขึ้นจาก Valuation ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ 1.3x 2025E P/BV ซึ่งต่ำกว่า SAWAD ที่ 1.6x อยู่มาก เรามั่นใจว่า TIDLOR จะสามารถสร้างผลตอบแทนสินเชื่อที่สูงขึ้นและสร้างรายได้ในระดับสูงจากธุรกิจนายหน้าค้าประกันวินาศภัย ซึ่งน่าจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์ในภาพรวมจะยังไม่แน่นอน เราคาดว่า TIDLOR จะรายงานกำไรสุทธิโต 14% CAGR ในช่วงปี 2024-26 จากรายได้ธุรกิจสินเชื่อและนายหน้าประกันภัยที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้เราคาดว่า ROE ของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 13.7% ในปี 67 เป็น 14.5% ในปี 69
โดยบล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการปรับผลตอบแทนสินเชื่อสำหรับลูกค้าใหม่ของ TIDLOR ให้สูงขึ้น 30-35bp ตั้งแต่ไตรมาส 4/66 ในขณะนั้น TIDLOR ตั้งใจปรับเพื่อสะท้อนความเสี่ยงผิดนัดชำระและต้นทุนในการกู้ยืมที่สูงขึ้น ทั้งนี้เราเชื่อว่าการปรับผลตอบแทนสินเชื่อดังกล่าวน่าจะเป็นบวกต่อความสามารถในการทำกำไรของ TIDLOR ในช่วงปี 67-69 ในที่สุดด้วยส่วนแบ่งทั้งจากธุรกิจสินเชื่อ (ผ่านการเติบโตของสินเชื่อ) และธุรกิจนายหน้าประกันภัยเราคาดว่า รายได้จากการดำเนินงานจะเติบโต 13% ต่อปีในช่วงปี 67-69
อย่างไรก็ดีเรามีความระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR เนื่องจากเราเห็นว่าสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพและการก่อตัวของหนี้ด้อยคุณภาพยังไม่ขึ้นแตะระดับสูงสุด โดยเรามีความกังวลหลักอยู่ที่สินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์(17% ของสินเชื่อรวม) โดยคาดว่าต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อจะอยู่ที่ 3.6-3.9% ในปี 67-69 ซึ่งสูงกว่าเป้าประมาณการของบริษัทฯ ที่ 3.0-3.35% ต้นทุนที่สูงดังกล่าวน่าจะทำให้ TIDLOR สามารถบริหารสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพให้ต่ำกว่า 2% ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำของ TIDLOR เป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายปี 68 ใหม่ที่ 20.50 จาก 17.64 บาท (GGM) หลังเราปรับลดประมาณการปี 67-69 ของเราลงประมาณ 4-5% ส่วนมากจากสมมติฐานผลตอบแทนสินเชื่อที่ลดลง อย่างไรก็ดีปัจจัยดังกล่าวชดเชยได้บางส่วนจากสมมติฐานสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ที่ลดลง