ผิดหวัง Easy E-Receipt ไม่ส่งผลบวกเท่าครั้งก่อน โบรกฯ เชื่อกลุ่มค้าปลีกยังได้ประโยชน์
หลังจาก ครม. มีมติอนุมัติโครงการ Easy EReceipt 2.0 ในวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มที่ควรจะได้ประโยชน์อย่างกลุ่มค้าปลีกเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก เนื่องจากเงื่อนไขของ โครงการในปีนี้ทำให้กลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์ โดยตรงน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่นักวิเคราะห์มองว่ากลุ่มค้าปลีกยังได้ประโยชน์
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเด็น วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ครม. มีมติ อนุมัติโครงการ Easy E-Receipt 2.0 เพื่อให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า และ บริการไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 ได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุด 50,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในร้านค้าทั่วไป 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายในวิสาหกิจชุมชน หรือร้านค้า OTOP 20,000 บาท ในช่วงวันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568
สถิติรอบปีที่แล้วเป็นอย่างไร?
ส่วนโครงการ Easy E-Receipt 1.0 ในปี 2567 สามารถลดหย่อนภาษีได้ 50,000 บาท เช่นกัน แต่ไม่ได้มีการจำกัดว่า จะต้องเป็นสินค้า OTOP จำนวน 20,000 บาท ทำให้บริษัทจด ทะเบียนได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากมูลค่าลดหย่อนเต็ม 50,000 บาท ซึ่งตลาดหุ้นไทยในช่วงมาตรการรอบก่อน 1 ม.ค. 15 ก.พ. 2567 SET Index ให้ผลตอบแทน -2.0% เนื่องจากการ เบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่ยังล่าช้า รวมไปถึงผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่ดีนัก อย่างไรก็ดีหุ้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวกลับเคลื่อนไหวได้ดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่ให้ผลตอบแทน -0.6%
ดังนั้นมาตรการรอบนี้เหมือนตลาดจะผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว โดยตั้งแต่ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติโครงการ Easy E-Receipt 2.0 จนถึงวันที่ 9 ม.ค. 2568 SET Index ปรับตัวลง 1.7% แต่หุ้นกลุ่มค้าปลีกกลับ Underperform โดยปรับตัวลงกว่า 3.7%
ทั้งนี้คาดว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเงื่อนไขโครงการในปีนี้ ไม่ได้ส่งผลบวก เท่ากับเงื่อนไขของโครงการในปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี มองว่าหุ้นใน กลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่ม Gadget เช่น COM7, SYNEX, ADVICE รวมไปถึงกลุ่ม Home Improvement เช่น HMPRO, DOHOME, GLOBAL ยังคงจะได้ประโยชน์โดยตรงจากเม็ดเงินลดหย่อนภาษีในส่วนของ 30,000 บาท เพราะเป็นสินค้าชิ้นใหญ่
ขณะที่อีกส่วน 20,000 บาท มองเป็นผลประโยชน์ทางอ้อม เนื่องจากจะช่วยให้ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งดีต่อการบริโภคของเอกชนในระยะถัดไป จึงเป็นบวกทางอ้อมต่อ CPALL, CPAXT และ CRC ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ในช่วงต้นปีนี้ยังมีมาตรการอื่นที่เข้ามาช่วยหนุนการบริโภคอีกแรง อย่างนโยบายแจกเงินหมื่นเฟส 2 ที่ล่าสุดภาครัฐได้ออกมายืนยันว่าจะโอนเงินได้ก่อนวันที่ 29 ม.ค. 2568 ขณะที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ตอบรับเชิงลบไปพอสมควรจากทั้งสภาวะตลาดที่ไม่ดี และ ความผิดจากมาตรก่อนหน้านี้ จึงมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นช่วงที่นโยบายของภาครัฐเข้ามาน่าจะทำได้ดีกว่าปีที่แล้ว