Wealth Sharing

กำแพงภาษี “ทรัมป์” ฉุดตลาดหุ้นในกลุ่มเกิดใหม่ต่ำสุดรอบหลายปี จับตา! หากไม่รุนแรง ลุ้นเห็นการฟื้นตัว


13 มกราคม 2568

กำแพงภาษี ทรัมป์_WS (เว็บ) copy_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่และไทย ตอบรับทรัมป์ 2.0 มาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากปัจจัยต่างๆ โดยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินหลายประเทศที่อาจมีประเด็นตั้งกำแพงภาษีกับสหรัฐอ่อนค่าขึ้นมาเร็ว 4% ถึง 7% ตอบรับผลกระทบจากประเด็นการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มจากจีน 10% ,เม็กซิโกและแคนาดา 25% มาในระดับหนึ่งแล้ว อาทิ ค่าเงินหยวนจีนอ่อนค่า 4.4% เปโซเม็กซิโกอ่อนค่า5.6% ดอลลาร์แคนาดา 6.7% ส่วนค่าเงินบาทก็อ่อนค่ามาแล้วถึง 6.7%

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง เปิดปี 2568 มาก็ต่ำสุดในรอบหลายปี และบางแห่งต่ำกว่าช่วงต้นปี 2560 หรือ ช่วงเริ่มยุคทรัมป์ 1.0 อีก เช่น ตลาดหุ้นไทย จุดเริ่มต้นดัชนีปี 2568 เปิดมาต่ำสุดในรอบ 9 ปีรองมาตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เปิดปี 2568 ต่ำสุดในรอบ 8 ปี, ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดปี 2568 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ดัชนีเปิดปี 2568 สูงสุดในรอบ 9 ปี

รวมไปถึงตลาดหุ้น MSCI EMERGING MARKET ปรับตัวลงมาแล้ว 7.2% ในช่วง 2 เดือน หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ (5 พ.ย. 67 – 10 ม.ค. 68) ตอบรับต่อผลกระทบจากนโยบายหาเสียงต่างๆ มาในระดับหนึ่งแล้ว และยังลงแรงกว่าช่วงเริ่มต้นยุคทรัมป์ 1.0 อีก 

แต่หากนโยบายสหรัฐต่างๆ ออกมาไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้  เช่น มีการตั้งกำแพงภาษีบางสินค้า อาจเห็นการฟื้นกลับเช่นเดียวกับปี 2559 ที่กลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่ลงก่อนในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาแรงในช่วงหลังชนะการเลือกตั้ง 3 –6 เดือน

ดังนั้น ทั้งค่าเงินในประเทศที่มีความเสี่ยงถูกตั้งกำแพงภาษีอ่อนค่ามาในระดับหนึ่งแล้ว และตลาดหุ้นเกิดใหม่ถูกกดดันตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา จนเปิดปี 2568 ดัชนีประเทศต่างในตลาดเกิดใหม่ทำจุดต่ำสุดในรอบหลายปี แสดงให้เห็นถึงตลาดหุ้นดูดซับปัจจัยลบการเริ่มต้นเข้าสู่ยุคทรัมป์ 2.0 มาในระดับหนึ่งแล้ว แต่หากประเด็นต่างๆ ไม่ได้รุนแรงก็มีโอกาสเห็นตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงไทยฟื้นขึ้นมาได้