อีกหนึ่งปัญหาในตลาดหุ้นไทยที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนรายย่อย ก็คือราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำหุ้นบริษัทไปวางค้ำประกันในการกู้ยืมเงิน ซึ่งหากถึงกรอบระยะเวลาในการจ่ายหนี้และไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ทัน ก็จะโดนฟอร์ซเซลหรือเป็นการบังคับขายนั่นเอง
ดังนั้น ในช่วงที่สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนและหุ้นรายตัวก็ยังปรับตัวลงมาภาวะตลาด ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการหยิบยกมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นรายตัวจากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนกันในครั้งนี้
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงสุดในรอบ 3 เดือน จากความกังวลเรื่องหุ้นวางมาร์จิ้นและการโดนฟอร์ซเซล ส่งผลให้ปีนี้ SET ลดลง 37.24 จุด หรือ 2.66% และยังปัจจัยกดดันตลาดอื่นๆ ส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ยังไม่ไหลเข้าในช่วงสั้นและมูลค่าซื้อขายที่เบาบางทำให้ตลาดหุ้นผันผวนเป็นพิเศษ
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงได้ทำการวิเคราะห์หุ้นวางมาร์จิ้นคงค้างทั้งหมดในระบบ มีไม่มาก 2.51 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.4% ของมาร์เก็ตแคปตลาด (ข้อมูล ณ พ.ย. 67) และถ้าวิเคราะห์มูลค่า BLOCK TRADE คงค้างล่าสุด (10 ม.ค. 68) พบว่า มีมูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58% ของมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยทั้งหมดของตลาดในปีนี้
โดย แม้สัดส่วนโดยรวมของหุ้นที่วางหลักประกัน กับมูลค่า BLOCK TRADE จะมีไม่เยอะแต่สภาวะตลาดที่มูลค่าซื้อขายเบาบาง อาจทำให้หุ้นที่มีจำนวนหุ้นที่วางมาร์จิ้นต่อจำนวนหุ้นทั้งหมดในระดับสูง และมี BLOCK TRADE ในระดับสูงมีโอกาสที่จะผันผวนมากกว่าหุ้นตัวอื่นๆได้
ดังนั้น จึงแนะนำสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับฐานลงมาลึก แต่มีโอกาสถูกฟอร์ซเซลต่ำ คาดมีโอกาสฟื้นเร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ผ่านเงื่อนไขที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ลงมาเกิน 10% ในปีนี้ หุ้นที่มีปริมาณ BLOCK TRADE น้อยกว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน และเป็นหุ้นที่มีการวางมาร์จิ้นในสัดส่วนที่ต่ำ 5% ของหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด
ทั้งนี้ ภายใต้คำแนะนำข้างต้นทางเราก็ได้ทำการคัด 5 หุ้นขนาดใหญ่ที่น่าสนใจพร้อมกับปัจจัยพื้นฐานประกอบไปด้วย ITC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท เนื่องจากมองว่า อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตได้ดี รวมถึง ITC มีศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าเป็นของตัวเอง ทำให้รองรับกับความต้องการที่มีมากขึ้นจากลูกค้าได้ ซึ่งจะมาช่วยหนุนการเติบโตได้อีกมากในอนาคต
GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 42 บาท เนื่องจากความล่าช้าของโครงการ ERU ส่งผลเชิงลบต่อกําไร เนื่องจากการรับรู้รายได้ที่ล่าช้า ซึ่งโครงการดังกล่าวสร้างรายได้500-800 ล้านบาทต่อปีหรือ8-13% ของกําไรหลัก และในระยะสั้นราคาหุ้นไม่มีปัจจัยบวก
TOP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท เนื่องจากราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว รวมไปถึงมูลค่าหุ้นในปัจจุบันไม่แพงและราคาปัจจุบันยังสะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในช่วง 5.7%-6.1% ในปี 2567-2568
SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว และเมื่อแนวโน้มกำไรในปี 2568 จะกลับเข้าสู่รอบของการฟื้นตัว ทำให้ราคาหุ้นจะเริ่มมีดาวน์ไวด์จำกัดแล้ว
SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 230 บาท เนื่องจากยังมองไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น จากผลกระทบจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ส่งผลบวกชัดเจนต่อ olefins spread และยังโอกาสปรับลดกำไรลงหากกำไรไตรมาส 4/67 ออกมาต่ำกว่าที่คาดฟ