Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 14-01-25(นาทีนี้ต้องเล่นหุ้นน้ำมันล๊าวววว)


14 มกราคม 2568

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม  14-01-25(นาทีนี้ต้องเล่นหุ้นน้ำมันล๊าวววว)

14-01-25 สวัสดีปีใหม่ 2568 “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ 

***ทั่วโลก เตรียมรับ evet ใหญ่ คือ การเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ในวันที่ 20 ม.ค. และ การประชุม FOMCครั้งแรกของปี 29 ม.ค. โดยตลาดประเมินว่าปีนี้ Fed จะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในการประชุม 19 มี.ค.68  เจ๊เชื่อว่าทั้งสอง event ที่มีผลต่อการลงทุนในแทบจะทุกๆ สินทรัพย์ ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะรอให้ event นี้ผ่านไปก่อน โดยเฉพาะเรื่องของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

***แม้ว่าตอนนี้ “ทรัมป์” ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง แต่เซียนหุ้นที่เฝ้าสังเกตการณ์..เค้าพบว่ามีการตอบรับเรื่องที่ว่ามาซักระยะแล้วเริ่มจาก

1. ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินหลายประเทศที่อาจมีประเด็นตั้งกำแพงภาษีกับสหรัฐอ่อนค่าขึ้นมาเร็ว 4% ถึง 7% ตอบรับผลกระทบจากประเด็นการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มจากจีน 10% ,เม็กซิโกและแคนาดา 25% มาในระดับหนึ่งแล้ว อาทิ ค่าเงินหยวนจีนอ่อนค่า 4.4% เปโซเม็กซิโกอ่อนค่า 5.6% ดอลลาร์แคนาดา 6.7% ส่วนค่าเงินบาทเองก็อ่อนค่ามาแล้วถึง 6.7%

2. ตลาดหุ้นใน MERGING MARKET หลายแห่ง เปิดปีนี้มาก็ต่ำสุดในรอบหลายปี และบางแห่งต่ำกว่าช่วงต้นปี 2560 หรือ ช่วงเริ่มยุค TRUMP 1.0 อีก เช่น ตลาดหุ้นไทย จุดเริ่มต้นดัชนีปีนี้ เปิดมาต่ำสุดในรอบ 9 ปี รองมาตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เปิดปีนี้ ต่ำสุดในรอบ 8 ปี, ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดปีนี้ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ดัชนีเปิดปีนี้ สูงสุดในรอบ 9 ปี

3.ตลาดหุ้น MSCI EMERGING MARKET ปรับตัวลงมาแล้ว 7.2 % ในช่วง 2 เดือนหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ (5 พ.ย. 67– 10 ม.ค.68 ) ตอบรับต่อผลกระทบจากนโยบายหาเสียงต่างๆ มาในระดับหนึ่งแล้ว และยังลงแรงกว่าช่วงเริ่มต้นยุค TRUMP 1.0 อีก แต่หากนโยบายสหรัฐต่างๆ ออกมาไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดคิด เช่น มีการตั้งกำแพงภาษีบางสินค้า อาจเห็นการฟื้นกลับเช่นเดียวกับปี 2559  ที่ตลาดหุ้น EMERGING MARKET ลงก่อนในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาแรงในช่วงหลังชนะการเลือกตั้ง 3 – 6 เดือน

***บทสรุปของเรื่องนี้กูรูหุ้นระบุว่า ทั้งค่าเงินในประเทศที่มีความเสี่ยงถูกตั้งกำแพงภาษีอ่อนค่ามาในระดับหนึ่ง แล้วและตลาดหุ้น EMERGING MARKET ถูกกดดันตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา จนเปิดปีนี้ดัชนีประเทศต่างใน EMERGING MARKET ทำจุดต่ำสุดในรอบหลายปี แสดงให้เห็นถึงตลาดหุ้นดูดซับปัจจัยลบการเริ่มต้นเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 มาในระดับหนึ่งแล้ว แต่หากประเด็นต่างๆ ไม่ได้รุนแรงก็มีโอกาสเห็นตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงไทยฟื้นขึ้นมาได้

***มีรายงานข่าวเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา (US) ประกาศคว่ำบาตร (sanction) รัสเซียเพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยการ sanction ครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งครอบคลุมถึงผู้ผลิตน้ำมัน เรือบรรทุกน้ำมัน บริษัทคนกลาง ผู้ค้าน้ำมันและท่าเรือของรัสเซีย โดยมีเป้าหมายที่จะที่จะโจมตีทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตและการกระจายน้ำมันของรัสเซีย โดย US จะ sanction ไม่เพียงแต่ Gazprom Neft และ Surgutneftegaz สองบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ แต่รวมถึง Ingosstrakh และ Alfastrakhovanie บริษัทผู้ให้บริการประกันภัยเรือซึ่งครอบคลุมเรือส่วนใหญ่ที่ส่งน้ำมันรัสเซียไปยังอินเดีย นอกจากนี้ US ยังจะ sanction เรือบรรทุกน้ำมัน 183 ลำ (ซึ่งหลายลำอยู่ในกองเรือเงา (shadow fleet) ของเรือบรรทุกน้ำมันเก่าที่ดำเนินการโดยบริษัทที่ไม่ใช่ของตะวันตก) 

***ไม่ต้องรอช้า..ราคาน้ำมันขานรับเรื่องนี้ทันทีพุ่งขึ้นไปแตะราคาสูงสุดในรอบ 3 เดือน..แบบนี้ส่งผลบวกต่อแนวโน้มต่อหุ้นน้ำมันต้นน้ำและโรงกลั่น  เมื่อวาน PTTEP โชว์เหนือ..พุ่งแรงตั้งแต่เช้า ระหว่างวันพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 128.50 บาท  สุดท้ายปิดตลาดลงมายืนที่ 127 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท  ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 2,169 ลบ.

***ต่อเรื่องนี้ เซียนหุ้นมองว่าการ sanction รัสเซียรอบนี้นับเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย โดยมีการประเมินว่า Gazprom Neft และ Surgutneftegaz มีการส่งออกน้ำมันรวมกันประมาณ 0.8-1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) ในปีที่ผ่านมา และอาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาพรวมตลาดน้ำมันโลกที่ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด(oversupply) ในปี 2568 จากภาพรวมอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าอุปทานใหม่ที่เข้ามา (โดยเฉพาะจากกลุ่ม non-OPEC+)

***เซียนหุ้นบอกว่าหุ้นเด่นๆ ในกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจคือ   SPRC - PTTEP - BCP ทั้งนี้เชื่อว่า PTTEP จะรายงานกำไรที่ฟื้นตัว QoQ ในไตรมาส 4 ปีนี้ ตามแนวโน้มปริมาณขายเฉลี่ยที่แตะระดับสถิติใหม่ ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วในไตรมาส 3/67 และจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4/67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ

1) การฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) 

2) ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ที่เป็นไปได้ที่ลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่มีความผันผวนน้อยลง