“ทักษิณ” ชี้ตลาดหุ้นไทยขาดความเชื่อมั่น ติงตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต.ทำงานช้า เตรียมเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. คุมเข้มบจ.
ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นปาฐกถาเวที “Dinner Talk CHAT with TONY: BULL RALLY of THAI CAPITAL MARKET เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีอยู่ 3 คำได้แก่คำว่า ความเชื่อใจ, ความเชื่อมั่น และ เซนติเมนต์ ซึ่งทั้ง 3 อันนี้อยู่ในภาวะวันนี้ที่ไม่ค่อยดี ดังนั้นเราคงต้องนำกลับคือมาให้ได้ทั้งความเชื่อใจ และความเชื่อมั่น
โดยในช่วงที่ผ่านมาตนได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หลายเรื่องที่คิดว่าจะต้องมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาทั้งตลาดหลักทรัพย์ และก.ล.ต. มีการปรับตัวค่อนข้างช้า ซึ่งจะต้องคิดเร็วๆและทำเร็วๆ อะไรบางอย่างที่ต้องออกเป็นพ.ร.ก. ก็ต้องออก ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้เตรียมไว้หลายเรื่องแล้วในแผนงาน
เรื่องที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำก็คือ Corporate Governance คือความโปร่งใสของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่ตลอด และก็แก้ไขปัญหาได้ช้า อธิบายได้ช้า โดยเรื่องนี้ต่อไปนี้ไม่ใช่บริษัทแค่เข้าตลาดแล้วแล้วก็จบไป
แต่อย่างไรก็ตามจะต้องตรวจสุขภาพของบริษัทจดทะเบียนอยู่ตลอด โดยมองว่า CG เป็นเรื่องสำคัญของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์คงต้องติดตามพฤติกรรมฝ่ายบริหารของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่ใช้เงินผิดประเภท ทำบัญชีที่ถูกต้อง งบตรวจสอบถูกต้อง และมีการบริหารที่ถูกต้อง
สำหรับปัญหาที่ 2 คือเรื่อง High Frequency Trading (HFT) ที่ขณะนี้ได้เข้ามาสู่ตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว ซึ่งขั้นต่อไปก็จะต้องมีการตรวจสอบการได้เปรียบเสียเปรียบ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ
ส่วนปัญหาที่ 3 คือการ Slow Action เมื่อมีการกระทำผิดที่เกิดขึ้นหลายบริษัท และกว่าจะมีการ Take action ได้นั้น มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเพิ่มอำนาจให้กับก.ล.ต.ให้เหมือนสากล ให้สามารถจัดการได้ทันทีไม่ต้องรออัยการ หรือรอกรมสืบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะทำให้ความน่าเชื่อถือเสียหาย ดังนั้นรัฐบาลได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว และกำลัง Take action เรื่องนี้อยู่
ขณะที่ปัญหาที่ 4 คือบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นธุรกิจเก่า ซึ่งธุรกิจใหม่ๆที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยมี โดยรัฐบาลได้ทำการให้ BOI เชิญชวนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย ให้เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับปัญหาที่ 5 คือหุ้นหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯของไทยมีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (ต่ำบุ๊ก) และมี P/E ต่ำ โดยอยากเสนอให้บริษัทเหล่านี้ทำ Treasury Stock และอยากให้ทำเหมือนตลาดหุ้นญี่ปุ่นด้วยการทำแผนเสนอว่าว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทเหล่านี้มีราคาหุ้นกับราคาทางบัญชีที่ใกล้เคียงกัน