คัด 5 หุ้นดัง! มีโอกาสซื้อหุ้นคืนสูง ประเดิมต้นปี 68 บจ. ซื้อหุ้นคืนแล้ว 4.4 พันลบ. โบรกฯ ชี้ ยังมีแนวโน้มประกาศอีกเพียบ
เปิดศักราชปี 2568 บจ.แห่ซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาท โบรกฯ ชี้บจ.มีแนวโน้มแห่ซื้อหุ้นคืนอีกเพียบ จากสภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ลดลง พร้อมเผยโฉม 5 บจ.ดัง มีโอกาสซื้อหุ้นคืนสูง
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า Valuation ของ SET อยู่ในระดับจูงใจซื้อหุ้นคืน โดยที่ระดับ SET INDEX 1,350 จุด คิดเป็น PER2025 ที่ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 16.9 เท่า และคิดเป็น -1 S.D. ของค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง
ขณะที่ PBV อยู่ที่ 1.3 เท่า คิดเป็น -2 S.D. ของค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง และต่ำกว่า MSCI Emerging Market ที่ 1.5 เท่า และ MSCI Asia ex Japan ที่ 1.6 เท่า ถือว่า SET INDEX อยู่ในโซนที่ไม่แพง แม้ว่าจะยังไม่ถูกมากก็ตาม
ส่วนภาระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม (ทั้งหนี้สินระยะสั้นและระยะยาว) 9 เดือนปี 67 อยู่ที่ 34.3 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปี 2566 ที่ 34.9 ล้านล้านบาท ขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน D/E Ratio ทรงตัวใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 2.6 เท่า สะท้อนว่าปัจจัยด้านความเสี่ยงทางการเงิน ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ต่ำเพียง 7%-8% ลดลงต่อเนื่อง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลัง COVID-19 ระบาดที่ 9% ทำให้การซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ถือเป็นทางเลือกในการเพิ่ม ROE ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ซึ่งโอกาสในการลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำระหว่างรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และความชัดเจนในการดำเนินนโยบายด้าน Trade War ของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์
โดย ปี 2567 ที่ผ่านมา มีบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนในช่วงดังกล่าว 36 บริษัท มูลค่ารวม 2.3 หมื่นล้านบาท โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ เช่น BEM, COM7, CPN, GUNKUL, PRM, TU เป็นต้น
และมี 5 บริษัทที่เริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ต้นปี 2568 มูลค่ารวม 4.4 พันล้านบาท คือ TQM, TU, SUSCO, TKN, EKH แนวโน้มการประกาศซื้อหุ้นคืนที่กลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จากสภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ลดลง ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หลายบริษัทที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจึงประกาศซื้อหุ้นคืน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกินไป
ซึ่งการซื้อหุ้นคืนมีข้อดี คือ 1. กำไรต่อหุ้น (EPS) และ ROE เพิ่มขึ้น เพราะหุ้นที่ถูกซื้อคืน จะไม่ถูกนามาคำนวณกำไรต่อหุ้น 2.ผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น ในกรณีที่บริษัทสามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลได้เท่าเดิม 3.มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น ทั้งผลของจำนวนหุ้นที่ลดลง และ EPS ที่เพิ่มขึ้น หากอิงที่ระดับ PER Multiplier เท่าเดิม
ดังนั้นจึงได้คัดกรองหุ้นที่มีโอกาสทำ Treasury Stock หรืออีกนัยหนึ่งคือหุ้นที่ประเมินว่ามี Downside จำกัด จาก Coverage ของฝ่ายวิจัย โดยอิง 5 ปัจจัย คือ 1.ความเสี่ยงทางการเงินต่ำ 2. กำไรปกติปี 2568 มีการเติบโต 3. มีเงินสดในมือในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับภาระหนี้หรือสินทรัพย์ 4. PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 5. ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสม ได้หุ้นที่น่าสนใจดังนี้
BCPG (ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท) คาดผลประกอบการปีนี้โตเด่น และมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวจากค่าไฟสหรัฐฯ ที่ขึ้นแรง จากความต้องการของ Data Center
GPSC (ราคาเป้าหมาย 50 บาท) ถูกกระทบจากการปรับลดค่าไฟ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกินไป ซึ่ง ณ ปัจจุบันต่ำกว่าช่วง COVID-19 ระบาดแล้ว
STA (ราคาเป้าหมาย 33.70 บาท) มีเงินสดในมือมาก และครึ่งหลังปี 68 ได้แรงหนุนจาก EUDR ราคาหุ้นซื้อขายบน PER2568 เพียง 6.8 เท่า และ PBV เพียง 0.5 เท่า
SAT (ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท) ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาให้กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปเป็นฐานผลิต EV Car
BE8 (ราคาเป้าหมาย 22.30 บาท) ได้แรงหนุนจากการลงทุนด้านไอทีของภาครัฐ ฯ และเอกชนเพื่อรองรับ AI ราคาหุ้นปรับตัวลงจนทาให้ PER2025 เหลือ 12 เท่า