รายงานพิเศษ : CCET ดันไทย เป็นต้นแบบกลยุทธ์ปี 68 “การนำทางด้วย AI ความเป็นเลิศในการผลิต”
บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) ประกาศกลยุทธ์ปี 2568 “การนำทางด้วย AI ความเป็นเลิศในการผลิต” โดยจะใช้โรงงานในประเทศไทยเป็นต้นแบบ นำร่องโรงงานของบริษัทที่กระจายอยู่ทั่วโลก
“เทคโนโลยี” มีความสำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน และที่สำคัญไม่น้อยหน้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อีเล็คโทรนิคส์ และต้องนึกถึง บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) ที่ทำธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี โดย นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ CCET กล่าวถึงการดำเนินงานของ CCET ในปี 2567 และเป็นช่วงครบรอบ 35 ปีของการก่อตั้ง CCETว่า ระยะเวลา 35 ปีถือเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิต เป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาประสิทธิภาพบริษัท
โดยปี2567 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับ CCET ไม่เพียงแต่จะขยายประเภทของผลิตภัณฑ์ แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง และยังคงขับเคลื่อนโรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะ 4.0 ในการผลิตและการดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยนำระบบอัตโนมัติแบบหุ่นยนต์มาแทนแรงงานคน
นอกจากนี้บริษัทยังได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในกระบวนการผลิตและการจัดการอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงนำเทคโนโลยี RPA มาใช้เพื่อทำให้การดำเนินงานในสำนักงานเป็นอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดต้นทุนแรงงานลงได้อย่างมาก และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร
โดยเทคโนโลยี AI และ RPA ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายในการสร้างโรงงานไร้คนทำงานสำเร็จ ในปี 2567 โรงงานในประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโรงงานผลิตแบบไร้คนอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในด้านการจัดการสินค้าคงคลัง และการใช้เงินทุนในการบริหารจัดการ ได้เสริมสร้างการจัดซื้อและวินัยทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และคาดการณ์ว่า ปีนี้ CCET จะยังคงสร้างผลกำไรที่โดดเด่น
“ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน มีความผันผวนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และในปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็น “ทรัมป์ 2.0” , ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์ สงครามการค้า ภาษีศุลกากร และการย้ายฐานการผลิตจากจีนซึ่งเป็นฐานการผลิตของโลกทำให้ CCET อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ CCET เน้นย้ำเสมอว่าโชคชะตาต้องอยู่ในมือของเราเอง แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราก็พร้อมที่จะตอบสนองเสมอ นอกจากนี้ยังคงเป็นเพราะจิตวิญญาณของการ “ขยันหมั่นเพียรและมีความภักดี” นี่เองที่ทำให้เราคว้าโอกาสที่มาถึงได้ เพราะโอกาสมีไว้สำหรับคนที่เตรียมพร้อมเสมอ”
และในปี 2568 CCET จะเปิดตัวการผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมสายการผลิตอย่างเข้มข้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาสแรกปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานและผลกำไรในปี 2568 เป็นไปในทิศทางที่ดี และโรงงานใหม่ในเซาเปาโล ประเทศบราซิล มีกำหนดจะเริ่มการผลิตในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เช่นกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับ CCET อีกด้วย
นอกจากนี้ CCET ประกาศกลยุทธ์ปฏิบัติการสำหรับปี 2568 “การนำทางด้วย AI ความเป็นเลิศในการผลิต” โดยจะใช้โรงงานในประเทศไทยเป็นต้นแบบ ในการนำร่องโรงงานของบริษัทที่กระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึงในฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เม็กซิโก บราซิล และสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาการผลิต AI และการจัดการแบบดิจิทัลอย่างครอบคลุม เพื่อให้โรงงานทุกแห่งสามารถเติบโตและกลายเป็นผู้มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญได้
“ในปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะนำการบริหารจัดการแบบดิจิทัลและการจัดการแบบบูรณาการมาผสาน “ภูมิปัญญาภาคปฏิบัติ” เข้ากับ “ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ” ด้วยการผสมผสานฝีมือช่างที่มีประสบการณ์เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล เรามุ่งมั่นที่จะแปลงประสบการณ์ให้เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง บริษัทในเครือแห่งนี้ได้ค่อยๆ พัฒนาเป็นองค์กรที่มีกำไรสูง”
นอกจากนี้ บริษัทระบบอัตโนมัติที่ลงทุนโดย CCET จะจัดตั้งศูนย์ R&D ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงาน โดยจะสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรมกับบริษัทด้านเทคโนโลยี AI ที่มีชื่อเสียง เช่น Delta Electronics และ Solomon Technology Corporation เราคาดการณ์ว่าบริษัทนี้จะมีส่วนสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรของ CCET อย่างมากในปี 2568
“ดังนั้นในปี 2568 CCET จึงเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากความพยายามของเรา และก้าวไปสู่จุดสูงสุดใหม่ นอกจากนี้เรายังคาดการณ์ว่า CCET จะประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นต่อไปในปี 2569” นายคงสิทธิ์ กล่าว
ความแข็งแกร่งของ CCET ยังสะท้อนได้จาก การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 SET50FF SET100 SET100FF* sSET SETCLMV SETHD SETESG และ SETWB ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (1 มกราคม-30 มิถุนายน 2568)
โดยดัชนี SET50/ SET50FF มีหลักทรัพย์เข้าใหม่ 4 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย บมจ. บ้านปู (BANPU) บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) บมจ. คอมเซเว่น (COM7) บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD)
และดัชนี SET100/ SET100FF มีหลักทรัพย์เข้าใหม่ 4 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) บมจ. ไทย โคโคนัท (COCOCO) บมจ. จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) บมจ. โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9)