ตามที่นักลงทุนหลายคนได้ติดตามข่าวสารของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า จากการถูกนำเรื่องแผนการลดค่าไฟลง ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกจะเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร แต่ล่าสุดทางด้านคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
โดยจะเสนอทางเลือกให้แก่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในการทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนทั้งในรูปแบบ Adder และ FiT เพื่อให้สะท้อนต้นทุนแท้จริงมากขึ้น ซึ่งจากแนวทางข้างต้นจะส่งผลต่อหุ้นโรงไฟฟ้าเช่นไร ไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน
สำหรับนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) กกพ. เสนอทางเลือกลดค่าไฟเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย (จาก 4.15 บาทต่อหน่วย) โดยลดราคารับซื้อไฟฟ้าผ่าน Adder และ FiT ซึ่งเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยกลุ่ม Adder เป็นสัญญาที่ renew ทุก 5 ปี ได้แก่กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 3.7 บาท/kWh ลดลงเหลือ 2.2 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง, กลุ่มพลังงามลม (Wind) รับซื้อ 3.4 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงเหลือ 3.1 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง
ด้านกลุ่ม Feed-in Tariff (FiT) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) เป็นสัญญาระยะยาว 25 ปี ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 5.66-4.12 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงเหลือ 2.2 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จากแนวทางดังกล่าว มองว่าทำได้ยากเนื่องจากต้องไปแก้ไขสัญญา
แต่อย่างไรก็ดี หากนำแนวทางนี้ไปใช้จริง มองว่ากลุ่ม Adder มีโอกาสที่จะโดนปรับลดราคามากกว่าเนื่องจากเป็นสัญญาระยะสั้น มีช่องทางแก้ไขสัญญาได้ง่ายกว่า และมองว่าผู้ประกอบการ Adder ผ่านจุดคุ้มทุนและได้รับผลตอบแทนไปพอสมควรแล้ว ซึ่งกลุ่ม Adder จะกระทบต่อ BCPG และ EA มากสุด ส่วนกลุ่ม FiT มีโอกาสที่จะโดนปรับสัญญาน้อยกว่า ซึ่งหากโดนจะกระทบต่อ BGRIM และ GUNKUL มากสุด
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้ารูปแบบดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง (คาดส่งผลกระทบต่อกำไรของ BGRIM ราว 130 ล้านบาท/ 4 เดือน และ GPSC ที่ราว 283 ล้านบาท/ 4เดือน)
และส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีโครงการรูปแบบ Adder ในสัดส่วนสูง เช่น SPCG,TSE, SUPER เป็นต้น ในกรณีที่มีการปรับสัญญาจริง คาดภาครัฐต้องมีการชดเชยเงินบางส่วนให้กับโครงการในกลุ่มดังกล่าว)
ส่วนในกรณีที่กี่มีการลดค่าไฟฟ้างวด ก.ย. –ธ.ค. 68 เป็น 3.70 บาท/หน่วย โดยไม่มีการบริหารต้นทุนก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม คาดส่งผลกระทบต่อกำไรของ BGRIM และ GPSC ที่ระดับ 360 ล้านบาท/ 4เดือน และ 750 ล้านบาท/ 4 เดือน ตามลำดับ (รอความชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารต้นทุนก๊าซธรรมชาติของภาครัฐเพื่อลดผลกระทบของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน)
ทั้งนี้การลดค่าไฟฟ้าตามแนวทางของ กกพ. จำเป็นจะต้องรอการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลำดับถัดไป และคาดเป็น Overhang ให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าในระยะสั้น-กลาง
สุดท้ายนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเป็นเซนติเมนต์ลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แม้จะมีโอกาสเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตามหากแนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นจริงจะกระทบกับหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งพลังงานทดแทน โดยหุ้นที่คาดว่าได้ผลกระทบคือ GUNKUL, SSP และโรงไฟฟ้า SPP (ก๊าซธรรมชาติ) กระทบจากราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงในขณะที่ต้นทุนพลังงานไม่ได้ถูกปรับกดดันมาร์จิ้น หุ้นที่กระทบ GPSC, BGRIM และ GULF
แต่อย่างไรก็ ตามประเมินแนวทางดังกล่าวทำได้ยาก ด้วยเป็นการขอแก้สัญญา คาดว่าจะคล้ายเคสก่อนหน้า ที่พยายามจะปรับค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า IPP ลง (ค่า AP) ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามความพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าจะยังคงเป็นปัจจัย overhang กลุ่มไฟฟ้าในระหว่างที่ยังหาแนวทางในการ implement ที่ชัดเจนไม่ได้