หุ้นโรงกลั่น เจอศึกหนัก! รัฐจ่อทำกฎหมายคุมราคาน้ำมัน ไม่อิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์
หุ้นโรงกลั่นเจอแรงกดดัน หลังภาครัฐอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมายคุมราคาน้ำมัน โดยมีหลักการเบื้องต้นคือ ไม่ต้องการให้อิงราคาน้ำมันสิงคโปร์ แต่โบรกฯ เชื่อรัฐจะไม่เลือกใช้วิธีที่ขัดต่อหลักการค้าเสรี แต่หาก worst case กฎหมายคุมราคาน้ำมันสามารถบังคับใช้และทำ cost plus เอกชนจริง แนะนำขายกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประเด็น นายทักษิณ ปราศรัยระหว่างช่วยหาเสียงนายก อบจ. นครพนม พร้อมสนับสนุนโครงการ Entertainment Complex คาดมีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน กาสิโนนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กเพียง 10% และจี้ให้หน่วยงาน ทำไมราคาน้ำมันต้องอ้างอิงราคาสิงคโปร์ ให้ทบทวนลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จากข่าวนี้ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจากกำไรส่วนต่างนี้จะลดลง
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โรงกลั่นและสถานีฯ มี Overhang กฎหมายคุมราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมายคุมราคาน้ำมัน โดยมีหลักการเบื้องต้นคือ ไม่ต้องการให้อิงราคาน้ำมันสิงคโปร์แต่มาใช้ cost plus แทน และราคาน้ำมันไม่เปลี่ยนทุกวัน ปรับเดือนละครั้ง (คาดหวังค่าการตลาดรวมไม่เกิน 2 บาท/ลิตร)
ผลกระทบการใช้หลักการ cost plus เท่ากับภาครัฐต้องการคุมอัตรากำไร (ยังไม่มีรายละเอียดของราคาอ้างอิงและอัตรากำไรที่ชัดเจนที่ภาครัฐต้องการจะควบคุม) ส่วนการปรับราคาน้ำมันเดือนละครั้ง หากไม่ใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมัน จะกระทบค่าการตลาดน้ำมันของกลุ่มสถานีฯ
ทั้งนี้มอง Negative ต่อความเสี่ยงด้านกฎหมายคุมราคาน้ำมัน ที่ รมว.พลังงานอยู่ระหว่างผลักดัน worst case หากเลือกใช้การคุมอัตรากำไรของเอกชนทั้งหมดหรือระบบ cost plus โดยไม่อิงกับการแข่งขันของภูมิภาค
รวมถึงปรับราคาน้ำมันได้เดือนละครั้ง จะกระทบอัตรากำไรของกลุ่มโรงกลั่น (ทุกๆค่าการกลั่นลดลง 0.1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล กระทบกำไรในกลุ่ม -2-7%; TOP2%, SPRC 3%, BCP 5%, IRPC 7%, PTTGC 5% และ BSRC 5%) และสถานีบริการน้ำมัน (ทุกๆ 0.1 บาท/ลิตร กระทบกำไร OR -8%, PTG -35%) อย่างมีนัยสำคัญ
โดยหากอิงตัวเลขบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ ที่ประเมินว่าลดราคาน้ำมันได้ 2 บาท/ลิตร แบ่งผลกระทบครึ่งๆ ระหว่างโรงกลั่น และสถานีฯ เท่ากับอาจกระทบค่าการกลั่น 4.5 ดอลลาร์/บาร์เรล และค่าการตลาด 1 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ประกอบการไม่สามารถทำกำไรได้
ทั้งนี้ยังคงมุมมองที่ภาครัฐจะไม่เลือกใช้วิธีที่ขัดต่อหลักการค้าเสรี แต่หาก worst case กฎหมายคุมราคาน้ำมันสามารถบังคับใช้และทำ cost plus เอกชนจริง แนะนำขายกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน มองผลตอบแทนของกลุ่มจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และความเสี่ยงในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นมาก