รวบหุ้นได้ประโยชน์ หลัง “คลัง” เดินหน้า FINANCIAL HUB คาดชง ครม.ต้นเดือน ก.พ. 68
รัฐบาลเดินหน้าจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจ ทางการเงิน เพื่อพัฒนาไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวที โลก นักวิเคราะห์มองเป็นโอกาส เศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจ ทางการเงิน (FINANCIAL HUB) เพื่อพัฒนาไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวที โลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคาดจะนำโครงการ ดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างช้าต้นเดือน ก.พ. 68 ซึ่งธุรกิจเป้าหมายที่ต้องการดึงดูดให้เข้ามาลงทุน และตั้งบริษัทในไทย คือ
1) ธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ 2) ธุรกิจบริการการชำระเงิน 3) ธุรกิจหลักทรัพย์ 4) ธุรกิจสัญญา ซื้อขายล่วงหน้า 5) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6) ธุรกิจประกันภัย 7) ธุรกิจนายหน้า ประกันภัยต่อ และ 8) ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง
โดยมีข้อกฎเกณฑ์ว่า ต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศ (NON-RESIDENT) เท่านั้น (ทั้งนี้จะอนุญาตสามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่ อยู่ในประเทศได้ในกรณีที่กำหนดไว้ คือ เปิดช่องร่วมทุนผู้ประกอบการไทย)
อย่างไรก็ตาม ไทยในปัจจุบันค่อนข้างมีอัตราภาษีธุรกิจด้านการเงินต่างๆที่ ‘สูงกว่า’ ศูนย์กลางทางการเงินประเทศอื่นๆ อาทิ สิงคโปร์ ดูไบ เป็นต้น สะท้อนว่าเพื่อทำให้ อัตราภาษีของไทยแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ไทยอาจต้องลดภาษีอย่างมีนัยฯให้แก่ผู้ ประกอบธุรกิจเป้าหมาย เพื่อดึงดูดเม็ดเงินได้มากขึ้น ซึ่งเป็นรายละเอียดของโครงการ ที่ต้องติดตามในลำดับต่อๆไป
โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าประเด็นดังกล่าวหากเกิดขึ้นจริงและมีประสิทธิภาพ จะส่งผลดี ต่อเศรษฐกิจไทยหลายด้าน ได้แก่ ดึงดูดธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน ในไทย, ทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น , เกิดการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในไทย, เกิดการจ้างงานในประเทศ และเกิดการ ถ่ายทอดทักษะและเทคโนโลยีแก่แรงงานไทย
ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ คือ • หุ้นกลุ่มนิคม, หุ้นลงทุนเทคฯ AMATA WHA AIT INSET หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และออฟฟิศ CENTEL MINT ERW AWC หุ้นกลุ่มการเงิน KTB BBL KBANK TISCO และหุ้นอุปโภค-บริโภค CPALL DOHOME BJC CBG MTC SAWAD
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ
ดังนั้นระเมินเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารในส่วนธุรกรรมการลงทุน+การเงินในประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เน้นหุ้นธนาคารใหญ่ KBANK, SCB, BBL หุ้นนิคม (การผลักดัน Financial Hub ส่วนหนึ่งคาดมีผลเป้าหมายดึง FDI) และกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8 BBIK ที่มีโอกาสได้งานเกี่ยวข้องกับระบบดิจิตอลสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาเพิ่มเติม