รายงานพิเศษ : SAFE ธุรกิจกำลังรับผลบวก “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ดันฐานลูกค้าเพิ่ม หนุนรายได้โต
บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) เตรียมรับอานิสงส์ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” กระตุ้นการให้บริการของบริษัทฯมีโอกาสเติบโตได้อีก 2-3 เท่าตัวจากฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โตแตะ 20%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของโลกในปี 2568 มีมูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.8% จากปี 2567 ส่วนแนวโน้มตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยปี 2568 คาดมีมูลค่ากว่า 6.3 พันล้านบาท เติบโต 6.2% จากปี 2567 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้าชาวไทย มีสัดส่วน 70% ของผู้มาใช้บริการทั้งหมด และลูกค้าชาวต่างชาติอีก 30% โดยเฉพาะการรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว ที่คาดว่าจำนวนรอบการรักษาจะเพิ่มขึ้น 5.9% และเป็นวิธีที่ชาวต่างชาตินิยม เนื่องจากอัตราความสำเร็จสูงกว่าวิธีอื่นๆ
ภายใต้การบริหารของ นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ได้ก่อตั้ง SAFE Fertility Group ขึ้นในปี 2007 และภายหลังในปี 2009 เป็นผู้นำทางด้านรักษาผู้มีบุตรยาก และด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนในเอเชีย โดย SAFE ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งให้การบริการที่หลากหลาย เช่น ตู้เลี้ยงตัวอ่อน Embryoscope, Life NGS, Automated machine เพื่อช่วยให้คนไข้ประสบความสำเร็จในการมีบุตร
ชูเทคโนโลยี PGTSeqA นำเข้าใหม่
PGTSeqA เป็นเทคโนโลยีและเป็นเครื่องมือในการตรวจและคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนได้แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยการเติบโตและสร้างรายได้ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ SAFE ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีนี้จากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา
กฎหมายสมรสเท่าเทียมช่วยเพิ่มฐานลูกค้า
ขณะที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะเริ่มใช้วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อเปิดทางให้ทำ IVF ให้กับกลุ่มเพศทางเลือก สมรส หญิง-หญิง หรือ ชาย-ชาย แล้วต้องการมีลูกจำเป็นต้องใช้น้ำเชื้อบริจาค การฝากไข่ ซึ่งอาจตั้งครรภ์เอง หรือ ว่าจ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีกฎหมายมารองรับก่อน โดยคาดว่ากฎหมายลูกต่างๆทยอยออกมา อาทิ กฎหมาย “อุ้มบุญ” ทำให้ความต้องมีลูกเปิดกว้างในกลุ่ม LGBT โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติ และกฎหมายสามารถโยกย้ายอ่อนได้หากฝากไข่ไว้ที่ประเทศไทย หากกฎหมายเริ่มผ่อนคลายและเอื้ออำนวย จะส่งผลให้การให้บริการของบริษัทฯมีโอกาสเติบโตได้อีก 2-3 เท่าตัวจากฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
อานิสงส์ปัจจัยบวกปีมะเมีย
ปีม้าหรือปีนักษัตร “มะเมีย” จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คนต้องการมีบุตรมากขึ้น เนื่องจากเป็นปีมงคล คาดว่าแนวโน้มในปี 2568 จะมีผู้มาใช้บริการฝากไข่รอคลอดในปี 2569 และทำ IVF มากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการของผู้ใช้บริการอยากมีบุตรได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฐานกลุ่มลูกค้าชาวจีน, คนไทยเชื้อสายจีน และคนเวียดนาม
ลุ้นปิดดีล M&A
บริษัทฯมองหาโอกาสการขยายการลงทุนเพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ โดยการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งที่ผ่านมามีการเจรจา พูดคุยกับหลายราย และพิจารณาอย่างรอบคอบให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการลงทุน ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถปิดดีลใหญ่ได้ 1 โครงการเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบันของ SAFE
ศูนย์การแพทย์คลินิกมีบุตรยาก
ในปัจจุบัน SAFE เปิดให้บริการรวมทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ (กรุงเทพฯ), สาขารามอินทรา (กรุงเทพฯ), สาขาศรีราชา (ชลบุรี), สาขาภูเก็ต (ภูเก็ต) และสาขาขอนแก่น (ขอนแก่น) โดยแบ่งสัดส่วนของลูกค้าของบริษัทฯ เป็นคนไทย 53% ต่างประเทศ 47% โดยมาจาก จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินเดีย, เวียดนาม และกัมพูชา
เปิดเป้าหมายโครงสร้างรายได้
บริษัทวางเป้าสัดส่วนรายได้ธุรกิจบริษัทดังนี้ 1.ธุรกิจ SAFE ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากสัดส่วนอยู่ที่ 75%, 2.ตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อนและทารกในครรภ์สัดส่วนอยู่ที่ 25% และ 3.ธุรกิจให้บริการด้านผิวหนังและความงาม (The Fountain Wellness Center) ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท เซฟ เวลเนส จำกัด (SWC) สัดส่วนราว 1%
ตั้งเป้ารายได้ 68 โต 20%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAFE มั่นใจว่าแนวโน้มในปี 2568 คาดว่ายังจะเติบโตได้ดีจาก 1.ปัจจัยบวกปีนักษัตร “มะเมีย” ในปี 2569 เร่งทำ IFV ในปี 2568 , 2.กฎหมายสมรสเท่าเทียมฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และ 3.ดีล M&A เพื่อมาสร้าง Synergy กับธุรกิจบริษัท รวมถึงมีบริษัทย่อยอย่างบริษัท เน็ก เจนเนอร์เรชั่น จีโนมิค (NGG) ที่ให้บริการการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์ และให้บริการด้านห้องปฏิบัติการ สนับสนุนผลงานของบริษัทฯให้เติบโต โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 20% เทียบปีที่ผ่านมา
โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เป้า 16.30 บ.
บล.กรุงศรี ปรับคำแนะนำ SAFE เป็น Buy (เดิม Trading Buy) คงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 16.30 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF WACC 9.7% คิดเป็น Imply PE ปี 2568 ที่ 23.6 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น SAFE ซื้อขาย PE ปี 2568 เฉลี่ย 18 เท่า หรือเทียบเท่า Forward PE -2.0SD มองว่าเป็นโอกาสลงทุนสำหรับ SAFE