Talk of The Town

TTB จัดหนัก! ทุ่มงบ 2.1 หมื่นลบ. ลุยซื้อหุ้นคืน 3 ปี เริ่มซื้อปีนี้ก้อนแรก 7 พันลบ. โบรกฯชี้ ช่วยจำกัดขาลงของราคาหุ้น


29 มกราคม 2568

นาย ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เปิดเผยว่าด้วยที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB  ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหันคืนเพื่อบริหารพางการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570

TTB จัดหนัก! ทุ่มงบ 2.1 หมื่นลบ._S2T (เว็บ)_0.jpg

โดยธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนคืนครั้งแรก ปี 2568 ด้วยวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จำนวนซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีการซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568

สำหรับการดำเนินการซื้อหุ้นคืนในปีที่ 2 และ 3 นั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ในขณะนั้น ๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคาร จำนวนหนี้ของธนาคารที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนในปีนั้น ๆ และการได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการของธงธนาคารในการซื้อหุ้นคืนในแต่ละครั้ง ทั้งนี้ ข้อบังคับของธนาคารกำหนดให้การซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกินกว่าร้อยละ 10 ของทุนชำระแล้วเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริษัทในการอนุมัติการซื้อหุ้นดังกล่าว

ทั้งนี้โครงการซื้อหุ้นคืน ถือเป็นหนึ่งในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการก็พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งสูงสูงอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้ โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นจึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้

ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนวนที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่าอัตราส่วนเงินกองทุนภายหลังการซื้อหุ้นคืนในปี 2568 ดังกล่าวจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 19% ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ 

โดย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่าราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืน เพื่อ ยกระดับ ROE ภายใต้ราคาหุ้นปัจจุบันซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV ซื้อขาย ราว 0.76 เท่า)

ประกอบกับมองว่าการซื้อหุ้นคืน จะช่วยจำกัดขาลงของราคาหุ้น ในช่วงดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ ภายใต้ Sensitivity Analysis พบว่าทุก 7 พันล้าน บาท ของส่วนผู้ถือหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐาน จะหนุน ROE ขึ้นจาก สมมติฐานปัจจุบันราว 0.1%  เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ระยะยาว ที่มีโอกาสดีขึ้นจากมุมมองเดิม ตามโครงการ ซื้อหุ้นคืน และความผันผวนของราคาหุ้นลดลงระหว่างดำเนินโครงการฯ 

ดังนั้นใน การประเมินมูลค่าหุ้น อิงวิธี PBV ปรับเพิ่ม ROE ระยะยาวจาก 8.5% เป็น 8.8% และ COE มาที่ 10.2% จากเดิม 10.4% (ผ่านการปรับลด Beta) ได้ PBV ใหม่ที่ 0.85 เท่า (เดิม 0.80 เท่า) ให้ FV ที่ 2.14 บาท (เทียบเท่า PER ราว 10 เท่า เท่ากับ ค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560) จากเดิม 2.02 บาท   

ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform นอกจากการซื้อหุ้นคืน ทางพื้นฐาน ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 – 69 มี Tax shield (คงเหลือ 1.06 หมื่นล้านบาท ใช้ได้ถึงปี 2571) ช่วยรักษาระดับกำไร ขณะที่ Div yield อยู่ในระดับ 7% ต่อปี ถือ ว่าน่าสนใจ

TTB