สะเทือน! หุ้นรถยนต์ เมื่อยอดผลิตรถดิ่ง 17 เดือนรวด กำลังซื้ออ่อนแอ-ตลาดการแข่งขันดุ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ส.อ.ท.รายงานยอดผลิตรถยนต์ในเดือน ธ.ค.ลดลง 17% ช่วงเดียวกัน จากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงและการถูกดึงส่วนแบ่งตลาดจากทั้งรถ EV และรถมือสองที่ราคาตกต่ำ ยอดผลิตงวดปี 2567 ที่ 1.47 ล้านคัน ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันและต่ำกว่าเป้า ส.อท.ราว 2%
สำหรับผลประกอบการหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ในไตรมาส 4/67 จะปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันตามการปรับลดลงของยอดผลิตรถยนต์ของประเทศ ตามที่ ส.อ.ท.รายงานที่ 340,971 คัน ปรับลดลง 5% จากไตรมาสก่อนและ 25% จากช่วงเดียวกัน
โดยเนื่องจากการเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูง และเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้กำลังซื้อลดลง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด EV จากการทำตลาดของค่ายจีน ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าและรถมือสอง ที่ราคาตกต่ำทำให้อุปสงค์การบริโภครถยนต์ใหม่ลดลง จึงประมาณการกำไรกลุ่มยานยนต์ปี 2567 ที่ 3,669 ล้านบาท ลดลง 24%
ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2567 ที่ชะลอตัวตามอุตสาหกรรม ส่วนปี 2568 คาดผลประกอบการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ชะลอตัวตามอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ สำหรับการมาของ EV ในช่วง 2 ปีแรก มองเป็น disruption ต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ
โดยเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าและค่ายรถยนต์จีนที่ตั้งฐานการผลิตในไทยมีซัพพลายเออร์ของตัวเองตามมาจึงส่งคำสั่งซื้อให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยไม่มาก ในเชิงกลยุทธ์ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยง และค่อยกลับมาดูหลังประกาศงบงวดปี 2567 ซึ่งมีหลายตัวที่มีปันผลน่าสนใจ เช่น SAT และ STANLY
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเป็นลบต่อบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จากยอดผลิตรถยนต์ที่ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ทั้งนี้ ยอดผลิตรถยนต์ปี 2567 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ ส่วนปี 2568 ยังประเมินจะทรงตัวต่ำที่ 1.45-1.50 ล้านคัน จากกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแอและการส่งออกได้รับผลกระทบจากความระมัดระวังการใช้จ่ายของประเทศคู่ค้า และการแข่งขันที่มากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ยังให้น้ำหนัก underweight ไม่มี top pickโดย SAT ประเมินกำไรปี 2567 จะลดลง 34% จากปีก่อน ตามทิศทางยอดผลิตรถยนต์ที่ลดลง โดยเฉพาะรถกระบะที่ยังลดลงมาก ส่วนปี 2568 จะยังทรงตัวตามยอดผลิตรถยนต์
พร้อมกันนี้ มองเป็นลบต่อหุ้นปล่อยสินเชื่อรถยนต์และจำนำทะเบียนรถ จากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลง สะท้อนถึงความต้องการรถยนต์ที่ชะลอตัว ซึ่งกดดันต่อยอดปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อที่น้อยลงและราคารถมือสองที่ยังทรงตัวในระดับต่ำจากความต้องการที่ยังไม่ดีขึ้นในช่วงเศรษฐกิจชะลอ ทำให้มีโอกาสรับรู้ขาดทุนรถยึดที่ยังทรงตัวในระดับสูง
โดยกลุ่มธนาคาร ประเมินผลกระทบจากมากไปน้อย ได้แก่ KKP เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ 48%, TISCO มีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ 46% และ TTB มีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ 31%