ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทจดทะเบียนประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่แน่ๆ ตลาดมองว่าโครงการนี้จะส่งผลบวกต่อนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัดเจน
โดยการซื้อหุ้นคืน คือ การที่บริษัทจดทะเบียนนำเงินสดไปซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ มาเก็บไว้เอง ทำให้จำนวนหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง และหลังจากนั้นบริษัทอาจจะพิจารณาขายหุ้นที่ซื้อคืนผ่านกระดานตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ ลดทุนจดทะเบียน ในอนาคต
ขณะที่ “หุ้นซื้อคืน” หรือ Treasury-Stock หุ้นกลุ่มนี้จะไม่ถูกนับเป็นองค์ประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะคะแนน และไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล
สิ่งที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลดี เมื่อบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน คือ กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ถูกซื้อคืน จะไม่ถูกนำมาคำนวณกำไรต่อหุ้น มีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ในระดับที่ P/E เท่าเดิม
ล่าสุด TTB จัดหนัก! มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570
การซื้อหุ้นคืนคืนครั้งแรก ปี 2568 ด้วยวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จำนวนซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยวิธีการซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568
และหลังจากนี้ จะมีบริษัทไหนบ้างที่จะมีโอกาสซื้อหุ้นคืน? หากอ้างอิงการประเมินของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินกระแสเก็งกำไรหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks) ในตลาดนับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืนวานนี้ 3 ปี ปีละ 7 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท
อิงเกณฑ์ที่ทีมกลยุทธ์ใช้คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสซื้อคืนในลำดับถัดไป 1.เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี P/BV ต่ำกว่า 1.0 เท่า
2. มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืนมากกว่า 5% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3. มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (เทียบตลาดกำหนด 6 เดือน) และ 4.มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน
พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT (P/BV 0.79 เท่า), SCB ( P/BV 0.85 เท่า), KBANK (P/BV 0.67 เท่า), KTB (P/BV 0.71 เท่า), BBL (P/BV 0.53 เท่า), PTTGC (P/BV 0.37 เท่า), TOP ( P/BV 0.36 เท่า) และ BCP (P/BV 0.8 เท่า)