รายงานพิเศษ : TIDLOR ผลงาน-กำไรน่าดึงดูด รับแรงหนุนสินเชื่อโต-ตั้งสำรองลดลง โบรกฯชี้ราคาหุ้นปัจจุบันมีอัพไซด์
บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ผลงานปี 66-67 เติบโตแข็งแกร่ง หลังมีการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ การขยายสาขาสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งราคาหุ้นในปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำ จึงยังมี Upside ในการเข้าลงทุน โบรกเกอร์
ประสานเสียงแนะนำ “ซื้อ”
โดยบล.ทิสโก้ วิเคราะห์หุ้น TIDLOR โดยระบุว่า จากข้อมูลที่รวบรวมได้ คาดการณ์ว่า 1) TIDLOR จะสิ้นปีด้วยการเติบโตของสินเชื่อประมาณ 7.5% จากปีก่อน (เป็น 1.05 พันล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่า คำแนะนำของปี 67 ที่ 10-20% เล็กน้อย (ให้คำแนะนำในช่วงต้นปี 67 เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยดูสดใส)
2) การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ดูดีกว่าที่เราคาดไว้เดิม โดย credit cost น่าจะลดลงเหลือ 3.2% ใน 4Q24F เทียบกับคาดการณ์เดิมประมาณ 3.5% เทียบกับ 3.9% ในไตรมาส 3/67
3) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้น่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/67 ตามฤดูกาลและการขยายสาขาใหม่ (TIDLOR เปิดสาขาใหม่ 31 สาขา) การขยายนี้บ่งชี้ว่าการเติบโตของเงินกู้อาจเร่งตัวในปี 68
ทั้งนี้บล.ทิสโก้ประมาณการกำไรในไตรมาส 4/67 ที่เติบโต 12.4% จากปีก่อน และ 2.3% จากไตรมาสก่อน เป็น 1.01 พันล้านบาท สอดคล้องกับประมาณการเดิมของเราและบ่งชี้ถึงกำไรสุทธิประจำปี 67 ที่เติบโต 10.8% จากปีก่อน เป็น 4,199 ล้านบาท มูลค่าของ TIDLOR ยังน่าดึงดูด โดยหุ้นซื้อขายที่ PER เพียง 11.6 เท่าสำหรับปี 67 และ 10.0 เท่าสำหรับปี 68 ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งมีความเสี่ยงด้าน downside ของผลกำไรควรมีจำกัด
ดังนั้นเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ TIDLOR ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 19.0 บาท/หุ้น (หมายถึง PER 11.4 เท่าสำหรับปี 68)
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ วิเคราะห์ TIDLOR โดยคาดการณ์ผลงานไตรมาส 4/67 ว่า 1) พอร์ตสินเชื่อ (Net Loan) ใน ไตรมาส 4/67 คาดว่าจะอยู่ที่ 100,203 ล้านบาท 7.2% จากปีก่อน +2.0% จากไตรมาสก่อน ซึ่งมาจากการขยายตัวในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถบรรทุก และรถยนต์ รวมทั้งมีการเปิดสาขาเพิ่มมาจากไตรมาส 3/67 จำนวน 31 รวมสาขา ทั้งหมด 1,778 สาขา
2) NIM คาดว่าจะอยู่ที่ 12.91% ทรงตัวจากไตรมาส 3/67 โดยได้รับผลกระทบจากการที่ cost of funds เพิ่มขึ้นราว 2 bps มาอยู่ที่ 5.49% แต่ yield ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันราว 2 bps มาอยู่ที่ 18.4% จากกลยุทธ์การปรับเพิ่มดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่
3) cost to income คาดว่าจะอยู่ที่ 55.92% จาก 54.98% เพิ่มขึ้น 93 bps จากปัจจัยฤดูกาล และการขยายตัวของธุรกิจ
4) NPL คาดว่าจะอยู่ที่ 1.89% จาก 1.88% ในไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้น 1 bps โดยอยู่ในกรอบของguidance ที่ไม่เกิน 2%
5) credit cost คาดว่า จะอยู่ที่ 3.52% ลดลง 39 bps จากไตรมาส 3/67 โดยลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น 6) Coverage ratio คาดว่าจะอยู่ที่ 207% ลดลงจาก 231% ในไตรมาส 3/67 และ จาก 282% ในไตรมาส 4/66
ทั้งนี้บล.ทิสโก้ยังคาดแนวโน้มกําไรปี 68 ว่าจะเติบโตได้ราว 7.82% จากปีก่อน ภายใต้สมมติฐานสินเชื่อที่เติบโตได้ราว 15% จากปีก่อน บวกกับคาดค่าใช้จ่ายสํารองหนี้ลดลง โดยเราคาด Credit Cost ที่ 3.5% ลดลง 7 bps จากปี 66 ด้วยประมาณการดังกล่าว เราจึงให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 19.50 บาท (อิงวิธี PBV ที่ 1.6 เท่า ตาม Gordon Growth Model) ราคาหุ้น ปัจจุบันยังมี Upside จึงแนะนํา “ซื้อ”
ขณะที่ความเสี่ยง : การแข่งขัน ด้านสินเชื่อที่สูงมากขึ้นและเศรษฐกิจไทยที่ยังคงชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์รวมถึงมาตรการต่างๆของภาครัฐบาล