ตลาดหุ้นไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นที่ดัชนีเปิดต้นเดือนมาติดลบติดต่อกัน 2 เดือน ซึ่งทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นักลงทุนหลายๆคนต้องกุมขมับกันทั่วหน้า ด้วยการจับจังหวะลงทุนที่ยากลำบากยังต้องเจอปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเข้ามาสร้างแรงกดดัน
ดังนั้นในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการหยิบยกมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจประจำเดือน ก.พ. จากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันให้แก่นักลงทุนและผู้อ่านกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าช่วงเดือน ก.พ. ของทุกปีเป็นช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลประจำปี ทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นงบดีและหุ้นปันผลในระยะสั้น จากการศึกษาความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
โดยพบว่าดัชนีตลาดหุ้นเดือน ก.พ.มักปรับตัวขึ้นโดยมีระดับความเชื่อมั่นสูงถึง 80% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 1% ขณะที่หุ้นปันผลดีมักปรับตัวในทิศทางดีกว่าตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวโดยมีความเป็นไปได้สูงถึง 80% ที่จะ Outperform และให้ผลตอบแทนรวมเฉลี่ยดีกว่าดัชนีตลาด +1.3%
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามหุ้นโลกเลย 2 ปีซ้อนและการประเมินมูลค่าอยู่ในระดับต่ำ คิดเป็น PE ปีนี้ที่ 13.9 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงกว่า 3.4% ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว เงินต่างชาติไหลออกจากหุ้นไทยไปแล้วมากกว่า 3.3 แสนล้านบาท
ดังนั้น ทำให้มองความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยมีจำกัดและมีโอกาสฟื้นตัว หากตลาดหุ้นโลกไม่ได้ร่วงลงอย่างรุนแรง แนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,300 1,270 จุด และ 1,340-1,365 จุด ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ให้น้ำหนักกลุ่มที่มีสัญญาณแข็งแกร่งกว่าตลาดในปีนี้ เช่น กลุ่ม BANK และกลุ่ม COMM โดยเน้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่มีโอกาสชนะตลาดในระยะสั้น AP, BBL, KTB, TASCO ผสานกับหุ้นอิงการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐและไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ BJC, CRC
สำหรับปัจจัยพื้นฐาน AP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนํา "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 11 บาท เนื่องจากเป็นผู้อยู่รอด ด้วยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นท่ามกลางตลาดอสังหาฯ ที่อ่อนแอ และเป็นหุ้นที่ไม่แพง ด้วยซื้อขายที่ P/E ที่ตํ่าที่สุดในกลุ่มที่ 5 เท่า รวมถึงไปเป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนปันผลสูงที่ 7.8%
BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190 บาท เนื่องจากเป็นธนาคารใหญ่ที่คุณภาพสินทรัพย์แข็งแรงและฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ที่มีการชำระคืนเงินดี ทำให้แนวโน้มการตั้งสำรองมีโอกาสปรับลงได้ อีกทั้งยังซื้อขายด้วย P/BV ต่ำที่ 0.5 เท่า ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่
KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์อีก 14.7% และคาดจะมีปันผลจ่ายอีกหุ้นละ 0.9 บาท (KTB จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.8%
TASCO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.40 บาท เนื่องจากภาวะธุรกิจที่อยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ส่งผลให้หุ้นมีอัพไซด์อีก 13.7% และคาดเงินปันผลในปี 2567 ที่ระดับ 1.05 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.3%
BJC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท เนื่องจากแนวโน้มของการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะยังคงเป็นบวกต่อไปในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ BJC ซื้อขายบน P/E เพียงที่ 17.5 เท่า
CRC บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 41.25 บาท เนื่องจากไตรมาส 1/68 ได้รับประโยชน์ระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนในระยะยาว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนยอดขายและกำไรของบริษัทได้